สุมิตตากุมารี

 

จะกล่าวถึงกุมารีนางหนึ่ง ซึ่งเป็นสาวแรกรุ่นโสภาอายุได้ ๑๖ ปี เป็นบุตรี
ของคฤหบดีชาวปัจจันตคาม วันนั้นเมื่อมีการประกาศว่า ให้มหาชนช่วยกัน
แผ้วถางทางเพื่อรับเสด็จสมเด็จพระทีปังกรบรมโลกนาถเจ้า ก็มีศรัทธามาร่วม
ถากถางทางกับชาวบ้านปัจจันตคามทั้งหลายด้วย ครั้นได้ทอดทัศนาเห็นสุเมธ
ฤๅษีผู้มีฤทธิ์เหาะมาจากป่าใหญ่ ก็ให้มีความแปลกประหลาดใจเป็นอันมาก
กาลต่อมา เมื่อเห็นมหาชนพากันแกล้งชี้มือบอกฤๅษีผู้ขออนุญาตให้ไปทำทาง
ณ บริเวณที่เต็มไปด้วยโคลนเลนซึ่งเป็นสถานที่จะทำให้สำเร็จได้ยากลำบาก
หากฤๅษีผู้มีฤทธิ์ก็รับทำจำยอมแต่โดยดี เจ้าสุมิตตากุมารีก็มีความเห็นใจ
แลสงสารท่านฤๅษี จึงช่วยแผ้วถางและขนดินจากที่อื่นเทถมในที่นั่นด้วยใจภักดี
แล้วก็ลอบชำเลืองดูร่างฤๅษีผู้ศักดิ์สิทธิ์มีฤทธิ์เหาะเหินเดินอากาศได้อยู่ไปมา

แต่พอได้เสวนาการพระพุทธฏีกาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทีปังกรบรมศาสดา ทรงประกาศแก่ปวงมหาชนว่า สุเมธฤๅษีจักได้ตรัสเป็น
พระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตกาลอีกนานหนักหนา สุมิตตา กุมารีเจ้า
ก็บังเกิดความยินดีปรีดา รีบวิ่งไปแสวงหาดอกไม้ ได้ดอกอุบลสดใหม่มา
๘ ดอก แล้วจึงซบกายถวายบังคมลงตรงเบื้องพระพักตร์ กระทำการสักการ
บูชาสมเด็จพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า ออกโอษฐ์ตั้งปณิธานความตาม
ประสาใจของนางในขณะนั้นว่า

" ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐเป็นพระบรมโลกุตมาจารย์
ด้วยเดชะอานิสงส์ที่ข้าพระบาทน้อยได้กระทำการบูชาแก่สมเด็จพระพุทธองค์เจ้า
ในกาลบัดนี้ ขอให้สุเมธฤๅษี จงเป็นสามีของข้าพระบาทสมใจปรารถนาในภาย
ภาคหน้าด้วยเถิด ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐบุญกุศลใดๆอันเกิด
จากพลีกำลังกายถากถางทางเพื่อเสด็จพระพุทธดำเนินในครั้งนี้ก็ดี และบุญกุศล
ที่ได้ถวายสักการบูชาสมเด็จพระทศพลด้วยดอกอุบลอันงามนี้ก็ดี ขอให้สุเมธฤๅษีนี้
จงได้เป็นสามีร่วมรักแห่งข้าพระบาทผู้มีวาสนาน้อยในอนาคตกาลด้วยเถิด"

สุเมธฤๅษีโพธิสัตว์ผู้ซึ่งได้รับลัทธยาเทศคำพยากรณ์จากพระโอษฐ์
แห่งองค์สมเด็จพระชินสีห์ทีปังกรเจ้าว่า จักได้สำเร็จซึ่งพระพุทธภูมิในอนาคต
ภายภาคหน้า ครั้นได้เสวนาการกุมารีงามโศภาชาวปัจจันตคาม เจ้ามาตั้งความ
ปรารถนาจะได้ตนเป็นสามี เฉพาะพระพักตร์สมเด็จพระทีปังกรพุทธเจ้าอย่าตรง
แท้ตามประสาใจนางเช่นนั้น ก็ให้พลันสะดุ้งตกใจเป็นล้นพ้น ทั้งนี้ก็เพราะว่า
ในขณะนั้น ตนเป็นผู้ได้บรรลุถึงฝั่งแห่งฌานสมาบัติอันจัดเป็นวิกขัมภนวิมุตติ
กิเลสราคะสงบซบอยู่ด้วยอำนาจแห่งกำลังฌาน จะได้มีตัณหาความอยากได้ใคร่ดี
ในนางกุมารีน้อย แม้แต่สักนิดหนึ่งก็หามิได้ ดังนั้น ท่านสุเมธฤๅษีผู้มีฤทธิ์จึงมี
วาจากล่าวห้ามปรามความปรารถนาแห่งเจ้าสุมิตตากุมารีขึ้นว่า

"ดูกรเจ้าซึ่งมีพักตร์อันเจริญ อันความปรารถนาแห่งเจ้าที่จะได้เราเป็น
สามีนี้ แม้จะเป็นความปรารถนาที่ดี แต่เราจะได้ชอบใจด้วยแม้แต่สักนิดหนึ่ง
ก็หามิได้ ขอเจ้าจงถอนความปรารถนาเช่นนั้นเสียในกาลบัดนี้ ขอเจ้าอย่าพึง
กระทำความปรารถนาอย่างนั้นเลย จงปรารถนาอย่างอื่นเถิด"

สุมิตตากุมารีสาวงามแห่งปัจจันตคาม ซึ่งมีความปรารถนาในใจอันมั่นคง
แรงกล้า แม้จะถูกฤๅษีออกวาจากล่าวห้ามปราม ฉะนี้เป็นหลายหนหลายครั้ง
นางก็ยังยึดมั่นอยู่ในความปรารถนาดั้งเดิม หาแปรไปเป็นอื่นไม่

สมเด็จพระจอมไตรโลกนาถทีปังกรบรมศาสดาจารย์ พระองค์ผู้ทรงมี
พระญาณอันไม่ขัดข้องในทุกกรณี เมื่อทรงอาวัชนาการดูเหตุอันจักพึงมีใน
อนาคตกาลแจ้งประจักษ์ ในพระญาณ จึงทรงมีพระมหากรุณาตรัสแก่สุเมธดาบสว่า

"ดูกรสุเมธดาบสเอ๋ย ตัวท่านอย่าได้ห้ามซึ่งความปรารถนาแห่งกุมารีน้อย
นี้เลย ด้วยว่า ในอนาคตกาลภายหน้า เมื่อตัวท่านบำเพ็ญพุทธบารมีธรรมเพื่อบ่ม
พระบรมโพธิญาณให้เต็มเปี่ยมบริบูรณ์นั้น กุมารีมีจิตมั่นคงนี้จักเป็นที่พึ่งอาศัย
ของท่าน และท่านจักได้บำเพ็ญบารมีเป็นภริยาทานบริจาคในกาลภายหน้าได้
ก็โดยอาศัยกุมารีนี้แลเป็นปัจจัยสำคัญ ดูกรสุเมธดาบสเอ๋ย ถึงเราตถาคตนี้ เมื่อยังสร้างพระบารมีท่องเที่ยวอยู่ในกระแสวัฏสงสารได้อาศัยสตรีภาพจึงมี
โอกาสบำเพ็ญภริยาทานเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ขอท่านจงอย่าห้ามความ
ปรารถนาแห่งนาง จงปล่อยให้เป็นไปตามประสาแห่งใจนาง ในกาลบัดนี้เถิด"

สุเมธฤๅษีได้เสวนาการพระพุทธฎีกาแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้ทรงสวัสดิภาคฉะนี้ ก็มีความเลื่อมใสเชื่อฟังด้วยดี น้อมเศียรศิโรตม์อันทรงไว้
ซึ่งชฎา รับพระพุทธฎีกาว่า สาธุ ! สาธุ ! ดังนี้แล้ว ก็ค่อยคลานออกมา เพื่อเปิด
โอกาสให้สมเด็จพระพุทธองค์ทรงพาพระภิกษุสงฆ์เสด็จพระพุทธดำเนินไป
ยังปัจจันตคาม ตามคำอาราธนาของชาวประชาต่อไป ครั้นล่วงทัศนวิสัย
สมเด็จพระพุทธองค์และสงฆ์บริษัทแล้ว สุเมธฤๅษีมหาบุรุษ ก็อุฏฐาการลุกขึ้น
จากลักษณาการที่ หมอบคลาน หากแต่ยังมีดวงมานเต็มไปด้วยความปรีดา
ปราโมทย์ จึงมิได้เคลื่อนกายไปไหน กลับทำบัลลังก์นั่งสมาธิคำนึงด้วยปีติว่า

"เราเป็นผู้มีฌานชำนาญเป็นอันดี หมู่ฤาษีทั้งหลายในหมื่นโลกธาตุ
จะได้มีอิทธิวิธีธรรม และความสามารถเสมอด้วยตัวเรานั้นหามิได้ เพราะว่าเรา
ได้อาศัยสมาบัติธรรมมากมั่นอยู่ในสันดาน จึงได้เสวยความสุขสิ้นเสื่อมกายวิการ
เห็นปานดั่งนี้"

กาลเมื่อสุเมธฤๅษีนั่งบัลลังก์สมาธิอยู่นั้น บรรดาเทพเจ้าทุกถิ่นสถาน
ในโลกจักรวาล ต่างก็พากันมาประสานศัพท์นฤนาทก้องแซ่ซ้องสาธุการ
ถวายพระพรว่า

"ข้าแต่ท่านฤๅษี ตัวท่านนี้จักได้ตรัสแก่พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ
สำเร็จเป็นองค์พระบรมโลกุตมาจารย์เป็นที่เที่ยงแท้ มิได้แปรปรวนวิปริต
ขอท่านจงตั้งจิตถือมั่นผูกพันความพยายาม อย่าให้ความเพียรนั้นกลับถอย
น้อยลงไป จงทำวิริยบารมีให้ยิ่งใหญ่ เพื่อได้ตรัสเป็นองค์สมเด็จพระชินสีห์ตรี
โลกนาถเจ้าต่อไป ให้สมกับพระพุทธฎีกาพยากรณ์ในวันนี้เถิดเจ้าข้า"

สุเมธฤๅษีมหาโพธิสัตว์ เมื่อได้สดับคำอำนวยพรของทวยเทพเจ้าดั่งนั้น
ก็ยิ่งมีกมลมั่นคำนึงวินิจฉัยถึงพุทธฎีกาพยากรณ์ว่า

"ธรรมดาพระพุทธพากยกถา คือ พระพุทธฎีกาขององค์สมเด็จพระสัมมา
สัมพุทธเจ้าทั้งหลายนี้ ย่อมเป็นสุภาษิต จะได้วิปริตผิดพจนะกระแสแปรไปสอง
หรือเป็นสภาวะสูญเปล่ามิได้เป็นจริงนั้นย่อมเป็นไปมิได้ พระองค์ดำรัส
อรรถคดีสิ่งไร สิ่งนั้นย่อมเป็นไปแน่แท้ดั่งกระแสพระพุทธบรรหาร พระโพธิญาณ
แห่งเราคงจักสำเร็จสมประสงค์เป็นแม่นมั่น เรานั้นคงจะได้ตรัสเป็นพระสัพพัญญู
เจ้าอย่างเที่ยงแท้ในอนาคต กำหนดกาลอีก ๔ อสงไขยแสนกัปเท่านั้น"

ครั้นคำนึงถึงวินิจฉัยฉะนี้แล้ว สุเมธฤๅษีจึงพิจารณาทศบารมีธรรมทั้งปวง
สืบไปด้วยอำนาจอภิญญาฌานสมาบัติที่ตนชำนาญแล้วด้วยดีเป็นวสีภาพ
แล้วก็ทราบชัดว่า โพธิปริปาจนธรรมสำหรับบ่มพระพุทธภูมินั้น ตนได้สั่งสมมา
มากมายชั่วระยะเวลานานหลายอสงไขยทีเดียว เป็นด้วยเดชะมหานุภาพที่
พระดาบสนั่งพิจารณาบารมีที่เคยสร้างไว้ในขณะนั้น พอการพิจารณาพุทธบารมี
ธรรมอันยิ่งใหญ่จบลงก็พลันบันดาลให้บังเกิดโกลาหลทั่วพิภพจบสกล พสุธาดล
พื้นปฐพีก็มีอันก้องกึกพิลึกสนั่นหวั่นไหวประหนึ่งว่าจะแตกทำลายลง

คราทีนั้น ปวงมหาชนในปัจจันตคามต่างก็พากันล้มสยบหวาดเสียวอยู่
มิได้ล่วงรู้เหตุร้ายดีประการใด ล้วนแต่ตกใจกลัวแก่เหตุการณ์ข้างที่ร้ายนั่นแล
เป็นกำลัง จึงรีบพากันเข้าเฝ้าสมเด็จพระทีปังกรพุทธเจ้าแล้วกราบทูลถามว่า

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มหาโกลาหลนี้ ปรากฏมีขึ้นด้วยมหาศักดานุภาพ
ของทวยเทพ อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ หรือ ฤๅษีสิทธิ์ศักดิ์ อสูร นาค ครุฑ ตนใด
ข้าพระบาททั้งหลายจะได้ทราบก็หาไม่ จักเป็นมหาวินาศภัยมาบีฑาโลกธาตุ
หรือจักเป็นด้วยอำนาจอุปัทวการบาปกรรมสิ่งใดประดามี หรือว่าจะเป็นสวัสดิ
มงคลประการใด ขอสมเด็จพระจอมไตรโลกนาถจงทรงแสดงเหตุให้ข้าพระบาท
ทั้งปวงได้ทราบด้วยเถิด พระเจ้าข้า"

สมเด็จพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทรงมีพระพุทธดำรัส สำแดงเหตุ
มหาโกลาหลแก่มหาชนในที่นั่นว่า

"ดูราท่านทั้งหลาย ขอท่านทั้งปวงจงอย่ามีความสะดุ้งหวาดเสียวต่อภัย
สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย การที่เมทนีคือแผ่นดินเกิดกึกก้องโกลาหลกำเริบขึ้นนี้ ก็เพราะ
เหตุที่เราตถาคตได้พยากรณ์สุเมธดาบสว่า เธอจักได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้า
พระองค์หนึ่งในอนาคตกาล บัดนี้สุเมธดาบสนั้นเธอคำนึงวินิจฉัยถึงบารมีธรรม
ของตน มหาโกลาหลจึงบังเกิดมีขึ้น ด้วยเดชะอำนาจคุณบารมีของพระโพธิสัตว์
สุเมธดาบสนั้นเป็นสำคัญ"

หมู่มหาชนครั้นได้สดับพระพุทธฎีกาดังนั้น ต่างก็มีกมลโสมนัสปสันนาการ
ในสุเมธฤๅษียิ่งหนักหนา รีบพากันจัดประทีปธูปเทียนบุปผาสุมาลัย ออกไป
ประชุมกันสักการบูชา ต่างคนต่างก็ออกโอษฐ์ ออกวาจาเป็นมธุรอรรถวาที
ด้วยคำอันเป็นมงคลเป็นต้นว่า

"ข้าแต่ท่านดาบส ขอให้ท่านได้ตรัสเป็นองค์สมเด็จพระทศพลสัมมา
สัมพุทธเจ้าในอนาคตกาลภายภาคหน้าให้สมจริงตามพระพุทธฎีกาพยากรณ์
นั่นเถิด เจ้าข้า"

แม้ปวงเทพยดาในสกลเทวสถานทั่วโลกธาตุ ก็พากันมากระทำสักการ
บูชาด้วยทิพยสุคนธมาลัยงามเลิศต่างๆทิ้งโปรยปรายลงมาจากนภากาศมากมาย
ราวกับว่าห่าฝนยังปฐพีดลบริเวณนั้น ให้เต็มไปด้วยทิพยบุปผานานาพรรณ
แล้วก็พากันบันลือศัพท์สาธุการเพรียกพร้องร้องถวายเทพพรมงคลว่า

"ข้าแต่สุเมธดาบสผู้เจริญ วันนี้ตัวท่านมีมหาลาภและประสบกองบุญ
อันยิ่งใหญ่ ได้แล้วซึ่งคำพยากรณ์จากสำนักสมเด็จพระทีปังกรทศพลญาณ
ขอความปรารถนาของท่านจงสำเร็จสมตามมโนปณิธาน ขอท่านจงได้ตรัสแก่
พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ สำเร็จเป็นพระตรีโลกนาถศาสดาจารย์สมตาม
พระพุทธทำนาย อนึ่ง สมเด็จพระไตรโลกนาถศาสดาจารย์ พระองค์ที่ล่วง
แล้วมาทุกพระองค์ ล้วนแต่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีถึงที่สุด แล้วก็ได้ตรัสรู้
พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ สถิตเหนืออปราชิตบัลลังก์และได้ทรงแสดง
พระธรรมจักรเทศนาอันเป็นพระพุทธประเพณีสืบมาฉันใด ขอท่านดาบส
จงบำเพ็ญพระบารมีให้ถึงที่สุดแล้วสถิตเหนือ อปราชิตบัลลังก์แสดงพระธรรมจักร
เทศนา เหมือนกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ล่วงมาแล้วนั้นเถิด อนึ่ง นทีแม่ น้ำ
น้อยใหญ่ใดๆย่อมมีกระแสชลอันไหลหลั่งมาสู่มหาสมุทรทั้งหมดฉันใด
ขอท่านดาบสจงได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ สำเร็จเป็นองค์อัคร
มหามกุฎอาจารย์จอมโลก เป็นที่ไหลมาแห่งบรรดาประชาสัตว์ทั่วโลกธาตุ
ทั้งหลายดังมหาสมุทรทะเลใหญ่เป็นที่รวมแห่งกระแสชลฉะนั้น"

เมื่อท่านสุเมธฤๅษีผู้มีฤทธิ์เป็นมหัศจรรย์ ได้ทัศนาการเห็นหมู่เทพยดา
และมนุษยนิกร มาสโมสรประชุมกันกระทำสักการบูชาและอำนวยศุภพรให้
กับตนดั่งนี้ ก็มีความปรีดาโสมนัสว่า

"กาลอนาคตกำหนดยังอีก ๔ อสงไขยกับเศษอีก ๑๐๐,๐๐๐ มหากัปเท่านั้น
เราก็จักได้ตรัสพระสัพพัญญุตญาณเป็นสมเด็จพระตรีโลกาจารย์พุทธเจ้า
อย่างเที่ยงแท้"

ครั้นคำนึงนึกแน่แก่ใจตนฉะนี้ สุเมธฤๅษี ซึ่งเป็นดาบสผู้มีฤทธิ์นั้น
จึงอธิษฐานมั่นด้วยวิริยบารมี หน่วงเอาพระพุทธคุณมาเป็นอารมณ์ น้อมกาย
บ่ายพักตร์บังคมเฉพาะทิศอันเป็นที่สถิตอยู่แห่งสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า
ทีปังกรสัมมาสัมพุทธอรหันต์แล้ว ก็มีใจผ่องแผ้วอธิษฐานให้บังเกิดฌานอภิญญา
เหาะทะยานว่ายฟ้าบ่ายหน้าไปยังมหาอรัญอันเป็นที่อยู่แห่งตน ครั้นสิ้นชนมายุแล้ว
ก็ได้ไปอุบัติเป็นพระพรหมผู้วิเศษ สถิตเสวยพรหมสมบัติเป็นสุขอยู่ ณ รูปภพ
พรหมภูมิโดยอำนาจฌานสมาบัติอันจัดเป็นวิกขัมภนวิมุตติที่ตนได้บรรลุแล้วนั้น