สมเด็จพระพิมพารำพัน

 

กาลครั้งนั้น ฝ่ายเจ้าสุมิตตากุมารีสาวโศภาแห่งปัจจันตคามคู่สร้างบารมีแห่งองค์สมเด็จพระชินวร แต่ครั้งศาสนาพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งกลับชาติมาเกิดเป็นเจ้าหญิงพิมพาราชเทวี ชนนีแห่งพระราหุลขัตติยราชกุมาร เมื่อได้เสาวนาการเสียงโกลาหลสำเนียงนฤโฆษสนั่นถึงพระโสตดั่งนั้น พระนางเจ้าจึงมีเสาวนีย์ตรัสถาม นางกำนัลนิกรเปสกาว่า

"ดูกรเจ้าทั้งหลาย อันว่าเสียงโกลาหลวุ่นวายนั้น เกิดขึ้นด้วย เหตุปรากฏมีเป็นไฉน?"

นางกำนัลทั้งหลาย ออกไปสืบได้ความมาแล้วจึงทูลว่า

"ข้าแต่พระแม่เจ้า กาลบัดนี้ พระราชสวามีของพระแม่เจ้าเสด็จมาถึงกรุงกบิลพัสดุ์ด้วยเพศสมณะครองผ้ากาสาวพัสตร์ พระหัตถ์ทรงซึ่งบาตรบทจรลีลาศเที่ยวภิกขาจาร ชนทั้งหลายซึ่งเป็นชาวเมืองได้ทอดทัศนาการเห็นแปลกประหลาด จึงเกิดเอิกเกริกโกลาหลขึ้น เหตุเป็นดั่งนี้แล พระแม่เจ้า"

เมื่อเจ้าพิมพาราชเทวีได้สดับเหตุดั่งนี้ ความที่ไม่เคยคิดฝันและไม่เคยฟังมาแต่กาลก่อน ก็ให้เร่าร้อนรันทดพระหฤทัยโทมนัสตรัสว่า

"พระลูกเจ้าสถิตในพระนครนี้ จะเสด็จไปในสถานที่ใด ก็เคยทรงกุญชรชาติพาชีสีวิกากาญจน์ยานราชรถ อันปรากฏด้วยดิเรกราชานุภาพมหึมา ก็บัดนี้ มาปลงพระโลมามัสสุและเกศา ทรงนุ่งห่มผ้าย้อมน้ำฝาด พระหัตถ์ทรงซึ่งบาตรเสื่อมสูญพระยศศักดาเดชดุจเพศคนจัณฑาล เที่ยวภิกขาจารทรมานพระองค์ ไม่มีพระภูษาทรงแลอาภรณ์หรือไฉน พระสิริวิลาสจะแปลกประหลาดเป็นประการใดในคราวนี้ น่าสงสารนัก

อนึ่ง ชะรอยพิมพานี้จะเป็นหญิงกาลกิณีอาภัพอัปลักษณ์ทุรพลไม่มีกุศลแต่กาลก่อนหรือไฉน จึงเผอิญบันดาลให้พระลูกเจ้าบำราศร้างห่างเสน่หา ทั้งนี้น่าจะเป็นด้วยอกุศลกรรมกระทำไว้แต่ปุเรชาติ พระภัสดาจึงเสด็จนิราศจากไปด้วยหมดอาลัยไยดี แต่พิมพานี้ครองชีวิตกินแต่อัสสุชลธารามาก็ช้านาน ช่างกระไร พระลูกเจ้าไม่มีพระหฤทัยโปรดปรานกรุณาบ้าง มาตัดขาดเด็ดเดี่ยวบำราศร้างอย่างประหนึ่งว่าเป็นอื่นไป อนิจจา! น่าอนาถใจถึงไม่มีพระอาลัยไยดีในพิมพา ก็น่าที่จะทรงจินตนาการมาถึงเจ้าราหุลราชกุมารหน่อน้อยบ้างก็มิได้มี"

ตรัสพลางเจ้าพิมพาราชเทวี ก็ทรงพระโศกีกำสรดพิลาปพระพักตราอาบไปด้วยนัยนามพุธารา พระหัตถ์มุ่นพระเกศาพลางเสด็จอุฏฐาการโดยด่วน ชวนพระราหุลราชโอรสบทจรสู่สีหบัญชรปราสาท ด้วยพระทัยปรารถนาจะทอดทัศนาพระภัสดา ซึ่งมีข่าวว่าได้ตรัสเป็นองค์สมเด็จพระบรมศาสดาจารย์ จึงเผยพระแกลเล็งแลดูพระสัพพัญญู ก็ได้ทัศนาเห็นองค์สมเด็จพระบรมครูภควันต์ ซึ่งในขณะนั้นพระองค์กำลังทรงรุ่งเรืองไปด้วยถ่องแถวพระฉัพพิธพรรณรังสี ครบบริบูรณ์ด้วยพระทวัตติงสมหาปุริสลักขณะและพระอสีตยานุพยัญชนะวิจิตรตั้งแต่พระอุณหิสลงมาจนตราบเท่าถึงพื้นฝ่าพระยุคลบาท ไพโรจน์ด้วยพระสิริวิลาสหาที่จะเปรียบมิได้ จึงยกพระหัตถ์ชี้ให้เจ้าราหุลได้ทอดทัศนา แล้วก็มีพระเสาวนีย์พรรณนาพระบวรรูปแห่งพระภัสดา โดยใจ ความว่า

"ดูกรพ่อราหุลลูกรัก พระมหาสมณะผู้มีศักดิ์ใหญ่ ซึ่งกำลังเสด็จเที่ยวโคจรบิณฑบาตไปด้วยพระพุทธลีลาอันงามนี้ พระองค์ทรงมีเส้นพระเกศาละเอียดอ่อน และวนเวียนเป็นทักษิณาวัฏ มีสีดำสนิททุกเส้น และทรงมีพื้นพระนลาฏงามยิ่ง ดุจสุริยมณฑลอันปราศจาก มลทิน นอกจากนั้น พระองค์ท่านยังทรงมีพระนาสิกสัณฐานยาวและสูงดุจขอแก้ววิเชียร รุ่งเรืองไปด้วยข่ายพระรัศมีมีพรรณโอภาส เป็นนรสีหราชบุรุษมนุษย์ประเสริฐศุภมงคล พื้นพระยุคลบาทมีพรรณแดง ประดับด้วยพระลายลักษณะวงกงจักรและรอบรูปอัฏฐุตตรสตมหามงคล ๑๐๘ ประการเป็นบริวาร

ดูกรพ่อราหุลกุมาร พระนรสีหบุรุษผู้เป็นมหาสมณะทรงศักดาใหญ่นี้ มิใช่ผู้อื่นไกลใครที่ไหน โดยที่แท้พระองค์คือพระราชบิดาของเจ้า อนึ่งเล่า พระองค์ก็ทรงเป็นศักยราชกุมารผู้ประเสริฐสุขุมาลชาติ มีพระสรีรกายวิจิตรงามวิลาสบริบูรณ์ เสด็จมาเพื่อจะกระทำกิจให้เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ชาวโลกทั้งปวง อนึ่ง พระองค์มีพรรณพระพักตร์ผ่องเพียงศศิธรมณฑล อันบริบูรณ์ในวันปุณณมี ทรงเป็นที่รักเลื่อมใสแห่งเทพยดาและมนุษย์ทั้งหลาย เมื่อทรงพระดำเนินไปก็งดงามประดุจลีลาแห่งพญาไกรสรสีหราชมฤคินทร์ ควรจะบังเกิดโสมนัสแก่ผู้ที่ได้ทัศนาการ ทั้งพระสุรเสียงของพระองค์ก็เสนาะสนิทวิจิตรคัมภีรภาพนฤโฆษ พระชิวหาแลพระโอษฐ์ก็มีพรรณแดงเข้มวิสุทธิโสภณ พระทนต์ก็ขาวสีสะอาดพิลาสดังสีสังข์ พระองค์ทรงบังเกิดในขัตติยอัครตระกูลอดุลยชาติ สมควรที่นรเทพยดาจักอภิวาทพระบวรบาทยุคล ทั้งพระกมลก็กอบด้วยศีลสมาธิปัญญาคุณอันอุดม ลำพระศอนั้นเล่าก็กลมดุจกลึงกล่อม พร้อมทั้งพระหนุก็งดงามดุจคางแห่งสีหราช พระสรีรกายก็ไพบูลย์พิลาสประดุจดังกายท่อนหน้าแห่งพญาราชสีห์ ทั้งพระฉวีวรรณก็งามไพโรจน์วิลาสประดุจสีแห่งสุวรรโณภาส พระองค์เสด็จยุรยาตรไปในท่ามกลางพระอริยสงฆ์สาวก ครุวนาดุจดวงจันทร์อันแวดล้อมด้วยคณะดารากำลังลีลาไปในอัมพรประเทศ พระนรสีหบุรุษองค์นี้หรือคือองค์พระปิตุเรศของเจ้านะ พ่อราหุล ขอพ่อจงรู้จักและจดจำไว้ให้จงดีเถิด"

สมเด็จพระพิมพาราชเทวี มีพระเสาวนีย์สดุดีสมเด็จพระบรมศาสดาให้เจ้าราหุลขัตติยกุมารน้อยได้สดับดั่งนี้แล้ว ก็เสด็จไปสู่พระตำหนักแห่งพระเจ้าสิริสุทโธทนะพระพุทธชนก ยกพระกรอัญชุลีแล้วกราบทูลความว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นสมมติเทวราชทรงพระคุณอันประเสริฐ บัดนี้ พระราชบุตรแห่งพระองค์มาเสด็จโคจรบิณฑบาตโดยวิถีในพระนครนี้ ด้วยพระพุทธลีลาศอันงามดุจเทพยดา ปวงประชาต่างพากันชื่นชมโสมนัสยินดีอยู่ทุกถ้วนหน้าแล้ว พระองค์จักไม่เสด็จไปทอด พระเนตรพระลูกเจ้านั้นบ้างหรือไฉน"

เมื่อสมเด็จบรมขัตติยธิราชได้สดับว่า สมเด็จพระลูกยาเสด็จเที่ยวภิกขาจารโคจรบิณฑบาตเช่นนี้ ความที่ไม่ทรงทราบอะไร ก็ทรงมีพระหฤทัยกอบไปด้วยความสังเวชอดสูอยู่หนักหนา ทรงรีบอุฏฐาการลุกจากพระแท่นที่ พระหัตถ์ทรงผ้าสาฎกสะพักพระองค์เสด็จลงจาก ราชนิเวศน์บทจรโดยด่วน ไปหยุดยืนอยู่ในที่เฉพาะพระพักตร์สมเด็จพระบรมศาสดาแล้วทรงตัดพ้อต่อว่าด้วยความน้อยพระราชหฤทัย

"ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ไฉนพระองค์จึงมาทรงกระทำให้บิดาได้รับความอายขายหน้าเป็นอัปยศ มาเที่ยวบทจรบิณฑบาตอันเป็นการมิสมควรแก่ราชสกุลเช่นนี้เล่า หรือสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจะทรงเข้าพระทัยว่า บิดานี้ มิอาจที่จะยังพระภิกษุสงฆ์องค์บริวารประมาณ ๒๐,๐๐๐ องค์ ให้ได้ขบฉันภัตตาหารเป็นการเพียงพอหรือไร ขอพระองค์จงอย่าได้ทรงกระทำอย่างนี้เลย พระเจ้าข้า"

สมเด็จพระมหากรุณาสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทรงมีพระราชดำรัสตรัสตอบพระพุทธบิดาว่า

"ดุกรบพิตรพระราชสมภาร อันว่ามหาสมมติวงศ์ศักยราชนี้ หาใช่วงศ์ประเวณีแห่งตถาคตไม่ วงศ์ประเวณีแห่งตถาคตเป็นอีกวงศ์หนึ่งต่างหาก จริงอยู่ สมเด็จพระสัพพัญญูพุทธเจ้าทั้งปวง จำเดิมแต่พระพุทธทีปังกรเป็นต้น ลงมาจนตราบถึงพระพุทธกัสสปะย่อม สำเร็จกิจเลี้ยงชีวิตด้วยสปทานจาริกภิกขาจาริกวัตรทั้งสิ้น อันนี้เป็นวงศ์ประเวณีแห่งอาตมาตถาคต

ดูกรบพิตรพระราชสมภาร กาลเมื่อตถาคตประสูติ ณ ภายใต้มงคลสาลพฤกษ์ในป่าลุมพินีวัน บังเกิดบุรพนิมิตเป็นมหัศจรรย์ ๓๒ ประการ ขณะนั้น ก็ยังชื่อว่าประดิษฐานอยู่ในมหาสมมติวงศ์ศักยราช และกาลเมื่อออกสู่มหาภิเนษกรมณ์กระทำทุกกรกิริยาจนนิสัชนาการ เหนือวชิรบัลลังก์ ยังพญามารและพลมารให้อัปราชัย จวบจนได้รู้แจ้ง ในปุพเพนิวาสานุสติญาณตอนปฐมยาม ครั้นล่วงเข้ามัชฌิมยามได้บรรลุทิพยจักษุแลทิพยโสตญาณตอนนั้น ก็ยังชื่อว่าประดิษฐานอยู่ในมหาสมมติวงศ์ศักยราช ยังมิได้ขาดจากวงศ์เดิมนั้น

กาลเมื่อพิจารณาพระปฏิจจสมุปบาทปัจจยาการ ตอนปัจฉิมยามเพลาตามอรุณสมัยไขแสงทองสว่างอร่ามฟ้า ได้ตรัสแก่พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ สำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสัพพัญญุตญาณ กาลนั้นเป็นอันว่ามหาสมมติวงศ์ศักยราชก็ขาดสูญประดิษฐานอยู่ในพระพุทธวงศ์อันประเสริฐจำเดิมแต่นั้นมา"

เมื่อมีพระพุทธฎีกาตรัสบอกฉะนี้แล้ว จึงตรัสพระธรรมเทศนาโปรดพระพุทธบิดาด้วยสารพระคาถาว่า อุตฺติฏเฐ นปฺปมชุเชยฺย เป็นอาทิ ซึ่งแปลเป็นใจความว่า บุคคลผู้ใดมิได้ประมาทในความเพียร อุตสาหะประพฤติในสุจริตธรรม และบุคคลผู้นั้นก็จะนิปัชชนาการเป็นสุขสำราญในอิธโลกและปรโลกเบื้องหน้า พอจบพระคาถาลง องค์บรมกษัตริย์สิริสุทโธทนะพระพุทธบิดาก็ได้บรรลุพระโสดาปัตติญาณ อันเป็นปฏิปัสสัทธิวิมุตติที่ ๑ ในพระพุทธศาสนา สำเร็จเป็นพระโสดาบัน อริยบุคคลแล้ว จึงทรงรับเอาบาตรและอาราธนาสมเด็จพระสัพพัญญูพร้อมทั้งหมู่อริยสงฆ์บริษัทให้ขึ้นสู่ปราสาท แล้วทรงอังคาสด้วยขาทนียโภชนียาหาร เมื่อสมเด็จพระบรมศาสดาจารย์และพระอริยสงฆ์เสร็จภัตกิจแล้ว จึงหมู่นางพระสนมทั้งปวงมีพระมหาปชาบดีเป็นประธาน ก็พากันมาถวายนมัสการด้วยความเลื่อมใสศรัทธา เว้นแต่สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงพิมพาราชเทวี มิได้เข้ามาเฝ้ากับเขาทั้งหลายในขณะนี้เพียงแต่มีเสาวนีย์สั่งมาว่า

"อันตัวพิมพานี้ ถ้ามีความชอบอยู่บ้าง แม้นว่าสมเด็จพระสัพพัญญูเสด็จมาสู่สำนัก จึงจักได้ถวายวันทนาการพระยุคลบาทต่อภายหลัง" ดังนี้

ครั้นรุ่งขึ้นเป็นวันที่คำรบสอง สมเด็จพระพุทธองค์ก็ทรงพาพระอริยสงฆ์เสด็จพระพุทธดำเนินไปรับภัตตาหารบิณฑบาตในพระราชนิเวศน์อีก ตามคำอาราธนาของพระพุทธบิดา เมื่อเสร็จภัตกิจแล้วทรงพระมหากรุณาตรัสเทศนาโปรดพระมหาปชาบดีให้ได้สำเร็จ พระโสดาปัตติผลญาณ เป็นพระโสดาบันอริยบุคคล ส่วนสมเด็จพระเจ้าสิริสุทโธทนมหาราชพุทธบิดาผู้มีญาณูปนิสัย ก็ได้สำเร็จธรรมวิเศษสูงขึ้นอีกชั้นหนึ่งในวันนี้คือ พระองค์ได้บรรลุพระสกิทาคามิผลญาณ อันเป็นปฏิปัสสัทธิวิมุตติที่ ๒ สำเร็จเป็นพระสกิทาคามีอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา

ครั้นรุ่งขึ้น เป็นตติยวารสมัย พอพระสุริยาไขแสงส่องอร่ามฟ้า สมเด็จพระบรมศาสดาก็พาพระอริยสงฆ์เสด็จไปสู่พระราชนิเวศน์ ตามคำอาราธนาของสมเด็จพระพุทธบิดาอีกเล่า สมเด็จพระปิตุเรศเจ้าซึ่งทรงเป็นพระสกิทาคามีอริยบุคคลแล้ว ก็มีจิตผ่องแผ้วกอบด้วยพระราชศรัทธาถวายยาคูภัตตาหารอันประณีต แด่สมเด็จพระทศพลและพระอริยสงฆ์องค์บริวารจำนวน ๒๐,๐๐๐ นั้น ครั้นเสร็จภัตกิจแล้ว องค์พระประทีปแก้วสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสเทศนา มหาธรรมปาลชาดกฉลองพระราชศรัทธา พอจบพระสัทธรรมเทศนาลง องค์บรมกษัตริย์ผู้มีพระบารมีแก่กล้า ก็ได้ทรงบรรลุพระอนาคามิผลญาณ อันเป็นปฏิปัสสัทธิวิมุตติที่ ๓ ในพระพุทธศาสนา สำเร็จเป็นพระอนาคามีอริยบุคคลฉับพลันเป็นอัศจรรย์

แล้วจึงหันพระพักตร์เหลียวแลไปดูหมู่สนมนางในทั้งปวง เมื่อมิได้ทอดพระเนตรเห็นเจ้าพิมพาราชสุณิสาในระหว่างหมู่คณานางทั้งสิ้น สมเด็จพระบรมนรินทร์ปิ่นกษัตริย์สิริสุทโธทนะพระอนาคามีอริยบุคคลผู้ได้สำเร็จใหม่ จึงมีพระราชดำรัสตรัสถามไปในขณะนั้นว่า

"แม่พิมพาเทวีราชสุณิสาแห่งเรา เจ้าสถิตอยู่ ณ ที่ไหน เหตุไรจึงไม่มาเฝ้าสมเด็จพระบรมศาสดา เพื่อสดับพระธรรมเทศนาอันประเสริฐในวันนี้ด้วยเล่า? "

ทรงมีพระราชดำรัสถามด้วยความที่ทรงห่วงใยในพระราชสุณิสาฉะนี้แล้ว ก็ดำรัสใช้เปสกาบริจาริกานางหนึ่ง ให้ไปทูลพระราชสุณิสามาในที่ประชุมนั้นโดยไว แล้วก็ทรงกราบทูลพระบรมไตรโลกนาถเจ้าว่า

"ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงเป็นบรมไตรโลกนาถ เจ้าพิมพาราชเทวีศรีสะใภ้แห่งบิดานี้เจ้ามีแต่ทุกข์แต่โศกมาเป็นเวลานาน วันนี้ขอพระองค์จงทรงพระกรุณาอนุเคราะห์ระงับเสียซึ่งหฤทัยเจ้าศรีสะใภ้ อันหม่นไหม้ไปด้วยวิปโยคโศกีมาประมาณเจ็ดแปดปีด้วยเถิดพระเจ้าข้า บิดานี้เข้าใจว่า เจ้าพิมพาราชเทวีคงจักสิ้นอาดูรเทวษอันรุ่มร้อนหฤทัยในวันนี้เป็นแน่แท้" ดังนี้

ฝ่ายนางเปสกานารีซึ่งมีศักดิ์ใหญ่กว่าหญิงทั้งหลายในพระราชนิเวศน์ ครั้นรับพระราชโองการสมเด็จพระนฤบดีแล้ว ก็รีบจรลีไปสู่ปราสาทแห่งพระราชสุณิสา ได้ทอดทัศนาเห็นเจ้าพิมพาราชเทวีในขณะนั้นก็ให้บังเกิดความสงสารสุดใจ ด้วยว่า ในขณะนั้นสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงพิมพาราชเทวีมีพระกรัชกายซูบซีดเศร้าหมองมิผ่องใส มีครุวนาดุจจันทเรขาในวันกาฬปักษ์จาตุทสีราตรีกาล มิฉะนั้นดุจศศิรังสีในฤดูฝนระคนไปด้วยราตรีแห่งเมฆพลาหก มิฉะนั้นดุจใบไม้อันเหลืองหล่นตกลงจากขั้ว มิฉะนั้นดุจอุทกวารีใสไหลลงในราสีกองถ่านเพลิงอันร้อนก็แห้งเหือด พระฉวีวรรณที่เคยผุดผ่องของเจ้า ก็เศร้าหมองวิปริตผิดเผือดเหี่ยวแห้งอับราศรี ด้วยเจ้าทรงกำสรวลโศกปิยวิปโยคทุกราตรีพระอินทรีย์ถูกไหม้ไปด้วยเพลิงกล่าวคือความโศกเป็นนิรันดรกาล กระแสพระอัสสุชลธารนองพระนัยน์เนตรมิรู้วาย ตรัสโทษหมู่นางกำนัลทั้งหลายด้วยความฟุ้งซ่านพระหฤทัย ผิดกว่าแต่กาลก่อนอย่างน่าสงสาร ดังนั้น นางเปสกานารีที่ถือรับสั่ง เมื่อเห็นว่ายังมิได้โอกาสที่จะกราบทูลพระนางซึ่งกำลังตกอยู่ในความวุ่นวายพระหฤทัย จึงค่อยแอบไปนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

จวบจนถึงกาลที่พระนางพิมพาราชเทวี ซึ่งมีความทุกข์โศกเข้าครอบงำดวงจิตเป็นยิ่งนัก หันพระพักตร์มาทอดพระเนตรเห็นนางทรงศักดิ์ใหญ่ในราชสำนัก จึงกวักพระหัตถ์ตรัสเรียกให้เข้ามานั่งใกล้ๆแล้วก็ทรงรำพันปรับทุกข์ให้ฟังว่า

"ดูกรเจ้าซึ่งเป็นเพื่อนสตรี กาลบัดนี้ เจ้าควรจะสังเวชสงสารเรา ด้วยว่าสมเด็จพระลูกเจ้าผู้เป็นภัสดาแห่งเรานี้ พระองค์ช่างมีกมลฤทัยเหี้ยมเกรียมห้าวหาญยิ่งนัก เห็นประหนึ่งว่าจะสิ้นเสียแล้วซึ่งความรักและความกรุณา เป็นไฉนเช่นพิมพานี้ไม่ควรจะรองละอองธุลีพระบาทเจียวหรือประการใด จึงทรงสลัดตัดพระอาลัยไร้ร้างเสน่หาให้โศกาดูรเดือดร้อน ถึงไม่ทรงมีอาวรณ์ในพิมพานี้ก็พอทำเนามิได้ว่า แต่พ่อราหุลราชกุมารหน่อน้อยน่าสงสาร เพิ่งเกิดวันเดียวมีพักตร์ดั่งพิมพ์ทองเทียมหฤทัยนัยน์เนตรนั้น เจ้าพลอยมีความผิดสิ่งใดด้วยเล่า สมเด็จพระลูกเจ้าจึงทรงสละเสียได้ ดุจหยากเยื่อเชื้อชานดอกไม้อันเหี่ยวแห้ง แกล้งบำราศร้างออกไปสู่ภิเนษกรมณ์ ด้วยพระอารมณ์เด็ดขาดปราศจากเมตตาการุณยภาพไม่ทราบว่าโทษทัณฑ์ฉันใด เมื่อพระลูกเจ้าผู้เป็นพระราชสามีที่รัก มาร้างไร้เสน่หาออกบรรพชาฉะนี้ อกเราเป็นสตรีนี้จะเป็นเช่นใด จะไว้พักตร์แลจิตสถิตสถานใดดีเล่า มีก็แต่ จะเฝ้าเสวยทุกข์เทวษเหตุเป็นม่ายมัวหมองกมล ทนต่อความชอกช้ำระกำใจหนักหนา

อันธรรมดาว่าสตรีเมื่อเป็นม่าย ก็ย่อมจะได้แต่ความยากอัปยศ หมดสิ้นสง่าหาศักดิ์และอำนาจบ่มิได้ ไม่มีใครจะยำเกรงเหมือนแต่กาลก่อน มีแต่จะยอกย้อนให้อัปยศอดสูด้วยหมิ่นประมาท ครุวนาดุจราชรถอันมีงอนปราศจากธงชัย มิฉะนั้นดุจกองไฟปราศจากควัน ถ้ามิดั่งนั้นดุจราชธานีที่ไม่มีบรมกษัตริย์ ซึ่งจักดำรงไอศวริยสมบัติครอบครอง ก็มีแต่จะต้องถูกผองชนติฉินยินร้ายอยู่ตลอดนิรันดร์

จะมีประโยชน์อันใดกับชีวิตพิมพานี้ซึ่งไม่มีแก่นสาร ด้วยมีแต่ทุกข์เทวษทุกวารวันเสวยแต่ทุกข์โทมนัสบำราศร้าง ว่างเว้นจากพระลูกเจ้าภัสดา เช่นนี้แล้วพิมพานี้ก็ควรที่จะกล้ำกลืนยาพิษเสียให้มรณา ก็จะประเสริฐกว่าที่จะดำรงชนม์ มิฉะนั้นก็จะอุตส่าห์ขึ้นไปบนภูผาสูงสุดแล้วก็โดดลงมาให้ม้วยมุดวายชีวาตม์ มิฉะนั้นก็จะโจนเข้าในกองเพลิงให้ชีวิตพินาศก็จะดีกว่าอยู่เป็นคนทนเป็นม่าย หรือจะเอาเชือกผูกคอให้สิ้นสุดทุกข์ที่เจ็บอายอัปภาคย์มากเหลือล้นพ้นที่จะประมาณ แม้นว่าพิมพานี้ดับสูญสิ้นสังขาร ก็จะขาดความทุกข์ขุกเข็ญที่ขุ่นข้องชอกช้ำระกำหฤทัย หรือจะว่าอย่างไรนะ เปสกานารีเจ้า"

นางเปสกานารีสดับวาทีปรับทุกข์รำพันของพระนางด้วยความสงสารจับใจ แล้วพอขาดพระเสาวนีย์ได้โอกาส จึงอภิวาทบังคมทูลว่า

"ข้าแต่พระแม่เจ้า บัดนี้ สมเด็จพระปิ่นเกล้ามงกุฎประชาสัสสุราธิบดีมีพระราชโองการตรัสสั่งให้มาเชิญเสด็จว่า วันนี้ สมเด็จพระสรรเพชญ์พระองค์ผู้เคยทรงเป็นพระภัสดา เสด็จมากระทำภัตกิจสถิตอยู่ในพระราชนิเวศน์สถาน จะโปรดประทานพระสัทธรรมเทศนา เพื่อระงับโศกาพระแม่เจ้าให้บรรเทาที่โทมนัสมานานวัน ขอเชิญเสด็จพระแม่เจ้าจงไปกับเกล้ากระหม่อมฉัน ในกาลบัดนี้เถิด อย่าชักช้า"

สมเด็จพระนางเจ้าพิมพาราชเทวี ได้ทรงสดับสารฉะนี้ ก็ยิ่งแสนช้ำกำสรดเศร้า สองพระกรค่อนพระทรวงเข้าถึงปริเวทนาการพิลาป พระเนตรนองอาบไปด้วยอัสสุชลวารีมีพระเสาวนีย์ตรัสแก่นางเปสกานารีนั้นว่า

"เมื่อสักครู่นี้ เจ้ากล่าวว่าอย่างไรนะ ดูเหมือนเจ้าว่าสมเด็จพระอิสราเจ้ารับสั่งให้เราขึ้นไปดูองค์พระภัสดา จริงดั่งนี้หรือประการใด"

"ข้าแต่พระแม่เจ้าซี่งเป็นใหญ่กว่าทุกนารีในกรุงกบิลพัสดุ์บุรี สมเด็จพระอิสราเจ้ารับสั่งให้เชิญเสด็จจริงเหมือนดั่งกราบทูลเป็นแน่แท้ เกล้ากระหม่อมฉันจะได้แสร้งเสกสรรเอาเท็จมาเจรจาก็หามิได้"

ทรงครุ่นคำนึงถึงเหตุการณ์อยู่ชั่วครู่ แล้วสมเด็จพระนางซึ่งกำลังตกลงอยู่ในความทุกขโทมนัส จึงมีพระเสาวนีย์ตรัสสั่งด้วยความน้อยพระทัยว่า

"ดูกรเจ้าเปสกานารีเอ๋ย อันตัวพิมพา ครานี้ไม่เหมือนก่อน ด้วยกลายเป็นคนกาลกิณี มีจักขุนทรีย์วิกลวิการไปทุกสิ่ง เป็นความจริงนะเจ้า ครั้นพิมพาจะขึ้นไปเฝ้าก็น่าจะทำให้เสื่อมเสียพระสิริอัปภาคย์ไป ขอเจ้าจงใคร่ครวญดูให้ดีเถิดว่า แต่ปางก่อนยามเมื่อยังอยู่ในพระราชนิเวศน์ คือ ยังไม่เสด็จออกบรรพชา สมเด็จพระลูกเจ้าก็เคยเสด็จไปเสด็จมาเข้าออกในนิเวศน์แห่งพิมพานี้เป็นนิตยนิรันดร์ทุกวันทุกราตรี ไม่ต้องมีเปสกานารีหรือนางกำนัลคนใดไปทูลเชิญเสด็จไปเสด็จมา ทรงปรารถนาจักเสด็จมา ก็ย่อมเสด็จมาด้วยพระองค์เอง สถิตเหนือพิจิตรอลังการอาสน์ ตรัสประภาสแย้มสรวลเล่นตามสบายพระทัย บางเวลาพิมพานี้ยังไม่ทันที่จะมารับเสด็จ พระองค์ก็เสด็จไปสู่ที่สรง ทรงตักอุทกวารีด้วยสุวรรณภาชนะขันทองล้างพระบาทด้วยพระหัตถ์เอง แล้วเสวยโภชนาอันพิมพาประจงตกแต่งไว้ถวาย แล้วเสด็จไปนิสัชนาการสำราญพระวรกาย บนพระแท่นที่สิริไสยาสน์ที่พิมพานี้ตกแต่งปูลาดไว้ บัดนี้ ไฉนจะให้พิมพาไปเฝ้าพระภัสดาในที่อื่นเล่า เจ้าจงไปกราบทูลตามคำของพิมพาในกาลบัดนี้เถิดว่า พิมพานี้เป็นหญิงกาลกิณีไม่อาจที่จะใช้นัยนาจ้องมองสมเด็จพระลูกเจ้าผู้ภัสดา ให้ทรงเสื่อมเสียพระสิริไปโดยใช่เหตุ มิฉะนั้นแล้ว สมเด็จพระลูกเจ้าคงจะไม่เสด็จหนีออกบรรพชา

ดูกรเจ้าเปสกานารี เจ้าจงกลับไปกราบทูลสมเด็จพระอิสราธิบดีเจ้าผู้เป็นใหญ่ในกบิลพัสดุ์เถิดว่า พิมพานี้ขอถวายอภิวันท์ให้ทราบเหตุ คือ ตั้งแต่วันสมเด็จพระลูกเจ้าเสด็จออกบรรพชา พิมพาหญิงกาลกิณีนี้ ก็มีแต่โศกาดูรเดือดร้อนเร่ารุมสุมในทรวงเสมอเหมือนมีภูเขาหลวงเข้ามาทุ่มทับทุกวารวัน คงเป็นเพราะโบราณกรรมอันตนกระทำไว้มีกำลังกล้า พิมพาปลงใจเสียเช่นนี้ ก็มิได้มีความขัดหฤทัยต่อผู้ใด สู้อดกลั้นหักห้ามจิตมิให้คิดถึงความละอายว่าเป็นม่าย จึงอุตส่าห์ดำรงชนม์ยืนนานมาจนป่านฉะนี้ บรรดาพระประยูรญาติที่กรุงเทวทหบุรีได้สดับข่าวที่พิมพาชอกช้ำระกำใจ ก็ให้พลอยเศร้าสลดซบเซาไปด้วยโศกาปิ้มประหนึ่งว่าจะพากันจมลงในกลางมหาสมุทร กล่าวคือ ความโศก อันเกิดจากพิมพาได้เสวยวิปโยคทุกขเวทนาไร้ร้างบำราศภัสดา ก็แลคราวนี้ สมเด็จพระลูกเจ้าผู้ภัสดาเสด็จมาถึงกรุงกบิลพัสดุ์ได้ถึง ๓ วันกับทั้งวันนี้ คงจะเป็นพราะพิมพาเป็นหญิงกาลกิณีไม่สร่างซา จึงมิได้ทรงกรุณาปรานีเสด็จลีลาศมาสู่นิวาสสถานของพิมพา เสด็จออกจากพาราไปเสียทุกวัน

แม้นว่า กาลวันนี้ พระองค์มิได้ทรงมีพระกมลหมายมั่น เอื้อเฟื้อในพิมพาเสด็จออกจากพาราไปในขณะใด ชีวิตของพิมพาก็จะบำราศจากสรีรกายไปในขณะนั้น แต่รักษาชีวันรอท่าพระราชสวามีมาก็ช้านาน เห็นจะขาดสูญสังขารสุดสิ้นเป็นแม่นมั่นในวันนี้ หากว่ากุศลแห่งพิมพายังรักษาบำรุงอยู่ ก็คงจะบันดาลให้สมเด็จพระลูกเจ้าผู้ภัสดา เสด็จมาหาพิมพาอันจะเป็นเหตุให้มีชนมายุยืนยาวสืบไป แม้นว่าพระลูกเจ้ามิได้ทรงพระกรุณาเสด็จมา จะให้พิมพาไปหาเองนั้นย่อมเป็นการไม่สมควร และพิมพาก็จะถวายบังคมลาในวันนี้ จะกระทำให้สิ้นสุดโศกีที่ทนทุกขเทวษมานานวัน มิให้ทุกข์นั้นปวัตตนาการทรมานหฤทัยสืบไปเบื้องหน้า ขอเปสกานารีเจ้าจงไปกราบทูลพระกรุณา ตามถ้อยคำพิมพารำพันสั่งดั่งนี้เถิด"

นางเปสกานารี ได้สดับคำรำพันฉะนี้ ก็ให้แสนสุดที่จะสงสาร รีบอัญชลีคมนาการไปกราบทูลตามคำพระราชสุณิสานั้นทุกประการ ในที่เฉพาะพระพักตร์สมเด็จพระบรมศาสดาจารย์ซึ่งเสด็จอยู่ ณ ที่นั่นเป็นมหาสันนิบาตมากมาย ทั้งพระอริยสงฆ์และอำมาตย์ราชบริพารทั้งหลาย เมื่อได้ทรงเสวนาการข่าวสารแห่งพระพิมพาราชเทวีศรีสะใภ้ยอดสงสาร สมเด็จจอมนราภิบาลบรมกษัตริย์ ก็ทรงมีพระราชดำริจะให้สมเด็จพระสัพพัญญูผู้บวรดนัยได้ทรงทราบถึงความเป็นไปแห่งเจ้าพิมพา ขณะที่พระองค์เสด็จออกบรรพชาเพื่อแสวงหาโมกขธรรม จึงกราบทูลด้วยพระวาจาพรรณนาถึงคุณเจ้าพิมพาเทวีเป็นอันมาก แล้วในที่สุดก็กราบทูลขึ้นอีกว่า

"ข้าแต่พระสัพพัญญูผู้มีเพียรพยายามชำนะแก่สงคราม และกอบด้วยพระมหากรุณา ขออาราธนาเสด็จพระพุทธลีลาสู่นิวาสสถานแห่งเจ้าพิมพาราชเทวีในกาลบัดนี้เถิดพระเจ้าข้า แม้นว่าพระชินสีหเจ้าไม่ทรงอาศัยพระมหากรุณาเสด็จไปสู่นิเวศน์ของเจ้าพิมพาด้วยพระองค์เองแล้วไซร้ ก็น่าที่เจ้าจะเสียใจโศกาดูรเดือดร้อน ด้วยความรักเป็นกำลังคับคั่งอยู่ในกมลสันดาน เห็นเที่ยงที่จะดับสูญสิ้นสังขารภายในสิริไสยาสน์นั้นเป็นมั่นคง ผิว์เจ้าพิมพาปลดปลงชีวาตม์แล้ว เห็นว่าพระหลานแก้วราหุลกุมารก็จะทำลายล้างชีวาตม์ไปตามพระชนนี เมื่อเป็นเช่นนี้ อันว่าประเวณีที่จะสืบขัตติยวงศ์ก็จะพินาศ บ่มิอาจวัฒนาถาวรสืบไป อนึ่ง ในกาลก่อนแต่เสด็จออกบรรพชา เจ้าพิมพากับ พระองค์ก็เคยสนิทเสน่หา จะได้เคลื่อนคลาดธุลีพระบาทบทมาลย์ แม้แต่สักเพลาหนึ่งก็หามิได้ ดังนั้น ในกาลบัดนี้ จึงใคร่ที่จะขอรับพระราชทานชีวาเจ้าพิมพาไว้ อย่าให้ถึงชีวิตอันตรายในครั้งนี้เลย พระเจ้าข้า"

สมเด็จพระบรมโลกุตมาจารย์ เมื่อได้ทรงสดับอาราธนากถา แห่งพระพุทธบิดากราบทูลฉะนี้ จึงทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า

"ดูกรมหาบพิตรพระราชสมภาร อันคำอาราธนาที่พระองค์ดำรัสนี้ เป็นการชอบสมควรยิ่งนัก ผิว์วันนี้ ตถาคตมิได้ไปเยี่ยมเยือนถึงนิเวศนสถานแล้วไซร้ ก็น่าที่เจ้าพิมพาจะมีดวงหฤทัยภินทนาการเป็นแม่นมั่น และเจ้าพิมพาราหุลมารดานี้ เป็นผู้ที่มีคุณแก่ตถาคตเป็นอันมากมาแต่อดีตกาลประมาณกว่าแสนชาติ ในชาตินั้นๆ เมื่อตถาคตบำเพ็ญบารมีทาน มีบุตรทานเป็นต้นในชาติใด เจ้าพิมพาก็เต็มใจยินยอมพร้อมร่วมศรัทธาในมหาบริจาคด้วยดีจะได้มีจิตคิดขัดแย้งกำเริบพิโรธ และมิได้เกิดความปราโมทย์ยินดีด้วยแม้แต่สักครั้งก็หามิได้ ตั้งแต่บำเพ็ญพระบรมโพธิญาณบารมี คุณความดีของพิมพาเจ้าก็ล้ำเลิศประเสริฐโดยยิ่งจะหาสิ่งใดที่จะเปรียบปานนั้นมิได้ จนตราบเท่าชาตินี้ถึงปรมาภิเษกสมัย ได้สำเร็จแก่พระสรรเพชญโพธิญาณเห็นปานฉะนี้ จะหาสตรีใดดุจพิมพาซึ่งมีกมลเจตนาช่วยบำรุงพระกฤษฎาภินิหารให้ได้บรรลุพระสัพพัญญุตญาณนั้น มิได้มีเลย ผิว์ตถาคตจักเมินเฉยไม่กระทำปัจจูปการสนองคุณความดีของเจ้าในครั้งนี้ เจ้าพิมพาราชเทวีก็จะคลาดจากประโยชน์ยิ่งใหญ่ไปอย่างน่าเสียดายนัก"

เมื่อสมเด็จพระพุทธบิดา ได้เสาวนาการพระพุทธบรรหารเช่นนั้น ก็ทรงชื่นชมโสมนัสเหลือประมาณ กราบทูลอาราธนาสมเด็จพระบรมศาสดาจารย์ขึ้นอีกว่า

"ข้าแต่พระอนันตญาณมุนี กาลบัดนี้ สมควรแล้วที่องค์พระประทีปแก้วจะเสด็จพระพุทธลีลาศสู่ปรางค์ปราสาทแห่งเจ้าพิมพา ขออาราธนาเสด็จเถิด พระเจ้าข้า"

กาลครั้งนั้น สมเด็จพระบรมศาสดาจารย์อันกตัญญูกตเวทีเข้าตักเตือนพระหฤทัยจึงเขยื้อนพระวรกายอุฏฐาการจากบวรบัญญัตตาอาสน์ ประทานบาตรทรงให้พระพุทธบิดาเสด็จบทจรตามไป โดยให้พระมหาขีณาสพทั้งหลายยังคงรออยู่ในที่นั่น มีพระพุทธบัญชาให้ตามเสด็จแต่เพียงคู่อัครสาวกทั้งสอง คือ พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลาน์ทำหน้าที่เป็นปัจฉาสมณะ แล้วเสด็จพระพุทธดำเนินไปสู่ปราสาทแห่งสมเด็จพระพิมพาราชเทวี พลางมีพระพุทธฎีกาตรัส แก่สองอัครสาวกว่า

"ดูกรสารีบุตรและโมคคัลลาน์ เจ้าพิมพาราหุลมารดานี้ เป็นสตรีมีคุณแก่ตถาคตเป็นอันมาก ในกาลบัดนี้ ผิว์นางจักจับบาทตถาคตลูบคลำสัมผัสและโศกาดูรพิลาปด้วยกำลังเสน่หา เธอทั้งสองจงอย่าได้ห้ามปราม จงปล่อยให้นางทำไปตามอัธยาศัย ให้นางพิไรรำพันปริ เวทนาการไปจนกว่าจะสิ้นโศก หากว่าจักห้ามนางในขณะนี้แล้วไซร้ นางก็จะวางวายม้วยมุดมรณาอาสัญ มิได้ทันเป็นสุพรรณภาชนะทองรองรับสดับพระธรรมเทศนา และตถาคตนี้ก็ยังประกอบไปด้วยเป็นหนี้แห่งเจ้าพิมพา ยังมิได้ปลดเปลื้องไปให้พ้น จะได้โอกาสเลิศล้นทดแทนใช้หนี้แก่เจ้าพิมพาก็แต่ในกาลครั้งนี้

อนึ่ง ตถาคตนี้ก็เป็นผู้มีราคะ โทสะ โมหะ ปราศจากขันธสันดาน เป็นสมุจเฉทปหานสิ้นสูญมูลรากเด็ดขาด มิอาจบังเกิดเจริญอีกสืบไปในเบื้องหน้า ครุวนาดุจยอดตาลที่ถูกตัดขาดมิอาจวัฒนาการสืบไป จะได้หวั่นไหวด้วยราคาทิกิเลสนั้น ย่อมเป็นอันมิได้มีอีกดังนั้น หากเจ้าพิมพาราชเทวีที่ไม่ได้พบเห็นตถาคตมานาน เจ้าจักเข้ามาลูบคลำสัมผัสด้วยความเสน่หาตามประสาสตรี ขอเธอทั้งสองจงอย่าห้ามปรามในครั้งนี้เลย"

ตรัสบอกแก่คู่อัครสาวกผู้ทำหน้าที่เป็นปัจฉาสมณะฉะนี้แล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เปล่งพระพุทธรังสีให้โอกาส เพียงดังภาณุมาสสักแสนดวงที่บังเกิดปรากฏเหนือยอดไกรลาสบรรพตมหาหิมวัตคีรี ถ่องแถวพระรัศมีทั้ง ๖ ก็ไพโรจน์โชตนาการส่องสว่างเข้าไปภายในปราสาทสิริไสยาสน์แห่งพระนางพิมพาราชเทวี มีประมาณเท่าลำต้นตาล พุ่งเข้าไปโดยช่องสีหบัญชรทวารกาญจนปราสาท โอภาสไปทั่วบริเวณพระราชมณเฑียรทั้งสิ้น เพื่อจะให้บังเกิดความเลื่อมใสโสมนัสแก่พระนางพิมพา แล้วก็เสด็จพระพุทธลีลาเข้าไป ด้วยพระพุทธสิริวิลาสอันงามสุดที่จะหาอะไรมาเปรียบได้ สถิตบนรัตนบัลลังก์อาสน์มณฑล ดุจดวงทินกรสถิตเหนือยอดยุคนธรสิขรินทร์

ฝ่ายว่าอเนกนางสนมทั้งสิ้น ได้ทอดทัศนาเห็นสมเด็จพระสัพพัญญูพร้อมกับคู่อัครสาวก เสด็จเข้าสู่พระมณเฑียรสถาน ทรงนิสัชนาการเหนือรัตนบัลลังก์อาสน์ ด้วยพระพุทธลีลาอันงามสุดประมาณเช่นนั้น ต่างก็พากันเข้าไปทูลพระพิมพาราชเทวีซึ่งกำลังทรงพระโศกีหมองไหม้ด้วยหทัยทุกข์ว่า

"ข้าแต่พระแม่เจ้า บัดนี้ สมเด็จพระปิ่นเกล้ากษัตริย์ภัสดาเสด็จมาสถิตบนรัตนบัลลังก์อาสน์ดังแต่กาลก่อนแล้วนะ พระแม่เจ้า"

เมื่อสมเด็จพระนางพิมพาราชเทวี ได้ทรงสดับนางสนมพากันมาทูลความฉะนี้ก็ให้ดีพระหฤทัยค่อยเคลื่อนคลายระบายพระอัสสาสะปัสสาสะอันร้อนผ่อนยาวออกได้ จึงอุฏฐาการลุกขึ้นฉับพลันทันใด พระกรจูงหัตถ์พระราหุลบวรดนัย มิได้ทันทรงประดับสรรพาภรณ์ รีบด่วนบทจรมาสถิตยังธรณีพระทวาร ปรารถนาจะทอดทัศนาการพระบรมราชสามีพระอัสสุชลวารีก็ให้มีเป็นอันหลั่งไหลนองพระนัยนากว่าร้อยพันหยาด พอเหลือบเห็นองค์พระมุนีนาถ น้ำพระอัสสุชลนัยน์ก็ไหลหลั่งดั่งกระแสสายสินธุ์นทีธาร ทำให้พระนางมิอาจจะได้ทอดทัศนาการสมเด็จพระบรมศาสดาจารย์โดยสะดวกเป็น ปรกติสุขได้ จึงตรัสพิไรรำพันพ้อต่อน้ำพระเนตรว่า

"อนิจจา น้ำตาเอ๋ย! กระไรเลยเจ้าช่างไม่เวทนาต่อพิมพา ช่างไม่มีความเมตตาปรานีต่อพิมพานี้บ้างเลยหรือไร จะขอโอกาสเจ้าแต่พอเพ่งพักตร์พระราชสวามีให้เต็มเนตรก็มิใคร่จะได้ แกล้งไหลหลั่งพรั่งไปไม่หยุดยั้ง กำบังเสียซึ่งทัศนวิสัยมิให้ได้เชยชมพระอุดมรูป สิริวิลาสถนัดตา แลพิมพานี้ก็ให้โอกาสแก่เจ้าให้ไหลออกมาสิ้นกาลช้านาน คณนาได้ถึงเจ็ดแปดปีเศษ ยังไม่พอแก่โศกาดูรเทวษหรือประการใด นี่น้ำตาเจ้าจะก่อกรรมทำเวรแก่เรานี้ไปถึงไหนหนอ ไฉนจึงไม่รู้จักเพียงพอเสียทีเล่า เฝ้าหลั่งไหลมิรู้ขาดสายวางวายฉะนี้แล้วพิมพาจะได้มีโอกาสได้ทอดทัศนาพระราชสามีที่จากไปนานได้อย่างไร ขอน้ำตาเจ้าจงให้โอกาสแก่เราในกาลนี้สักหน่อยเป็นไรหนอ"

สมเด็จพระนางเจ้ามีพระเสาวนีย์ตัดพ้อบริภาษอัสสุธาราดั่งนี้ แล้วก็ค่อยมีสติอดกลั้นเสียซึ่งความโศก ค่อยคลานเข้าไปเฝ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า พระกรกอดเอาข้อพระยุคลบาทซบพระเศียรลง ถวายนมัสการ พลางทรงพระพิลาปกราบทูลด้วยเนื้อความว่า

"ข้าแต่พระลูกเจ้าบรมราชสวามี โทษของกระหม่อมฉันพิมพานี้ คงจะมีมากถึงขั้นเป็นหญิงกาลกิณีหรือไร สมเด็จพระลูกเจ้าบรมราชสวามีจึงเสด็จหลีกหนีออกไปบรรพชา ปล่อยให้พิมพานี้ต้องอาดูรด้วยเสน่หาแต่กาลยังดรุณภาพ พระองค์มิได้ตรัสบอกให้ทราบแสร้งทรงสละข้าพระบาทไว้ไม่มีพระอาลัย ดุจก้อนเขฬะในปากพระชิวหาอันถ่มออกจากพระโอษฐ์มิได้โปรดปราน เสด็จบำราศร้างจากนิวาสสถาน ในยามรัตติกาลออกไปทรงบรรพชา เบื้องว่าข้าพระบาทพิมพานี้มีโทษหนักแล้วก็แล้วไปเถิด แต่พระลูกแก้วราหุลราชบวรดนัยเพิ่งประสูติจากพระครรภ์ในวันนั้น ยังมิได้รู้ผิดชอบประการใด นั่นจะมีโทษสิ่งไรไปด้วยเล่า พระผ่านเกล้าจึงแกล้งทอดทิ้งไว้ให้ร้างพระปิตุรงค์

อนึ่ง อันตัวพิมพาข้าพระบาทบงกชนี้ เหล่าเนมิตตกาจารย์ผู้ชำนาญรอบรู้ดูลักษณะก็ได้ทำนายทายทักไว้แต่ยังเยาวทาริกาว่า จะมีบุญญาธิการอภินิหารใหญ่ยิ่งสมควรเป็นมิ่งมเหสีอดุลกษัตริย์จักรพัตราธิราช แลคำทำนายทายทักนั้นก็เคลื่อนคลาดเพี้ยนผิด กลับแปรพิปริตไปสิ้นใช้ไม่ได้ อันที่จริงควรจักทำนายว่า พิมพานี้จะเป็นม่ายได้อัปยศความชอกช้ำระกำใจแต่ยังสาวคราวมีลูก นั่นแลจึงจะถูกจะต้องเป็นที่สุด ประการหนึ่ง ศากยราชนารีมีศักดิ์ใหญ่ทรงพระนามว่า กีสาโคตมี ได้เคยสดุดีสรรเสริญไว้ว่า สตรีใดได้พระลูกเจ้าเป็นพระราชสวามี สตรีนั้นนับว่ามีบุญกุศลมหาศาล ดับเสียได้ซึ่งหทัยทุกข์เป็นสุขนิตยนิรันดร์ คำสรรเสริญสดุดีนั้นก็ให้มีอันเป็นวิปลาสคลาดเคลื่อนไปอีก ด้วยว่าพิมพาข้าพระบาทนี้ได้พระลูกเจ้าเป็นพระราชสวามี บัดนี้ ไม่เห็นจะมีสุขแต่อย่างใด กลับได้แต่ทุกข์อาดูรเทวษบ่มิเว้นวาย"

สมเด็จพระพิมพาเทวีเจ้าบรรยายปริเทวนากถา โดยนัยดังพรรณนาฉะนี้ แล้วก็กลิ้งเกลือกพระอุตตมางคโมลี เหนือหลังพระบาทสมเด็จพระจอมมุนี โศกีพิลาปรำพันอยู่หนักหนา