พิมพายโสธราเทวี

 

สุเมธมหาพรหมโพธิสัตว์ผู้มีพระพุทธบารมี เสวยพรหมสมบัติเป็นสุขอยู่
ณ รูปภพพรหมภูมิ โดยควรแก่กาลแห่งพรหมายุขัยแล้ว ก็เคลื่อนแคล้วมาอุบัติ
เกิดในกามาวจรภูมิอีกเป็นเวลานานหลายแสนหลายล้านชาติหนักหนา โดยที่
บางชาติก็อุบัติเกิดเป็นเทวดา ณ สวรรคเทวโลก บางชาติก็บังเกิดเป็นมนุษย์
ในมนุษย โลกเรานี้ และบางทีก็ไปเกิดเป็นสัตว์เดียรฉานด้วยอำนาจแห่ง
วัฏสงสารบันดาลให้เป็นไป จนกาลเวลาล่วงไปได้ถึง ๔ อสงไขยกับเศษ
อีก ๑๐๐,๐๐๐ มหากัป ตลอดเวลาอันแสนจะยาวนานนี้ อดีตสุเมธฤๅษีผู้ได้รับ
ลัทธยาเทศจากสำนักสมเด็จพระมิ่งมงกุฎทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เฝ้าสั่งสม
อบรมพระบารมีซึ่งเป็นเครื่องบ่มพระโพธิญาณเรื่อยมาไม่หยุดยั้ง ทั้งนี้ก็เพราะ
เหตุที่มีหฤทัยผูกพันมุ่งมั่น ปรารถนาแต่พระสัมโพธิญาณพุทธบารมีเป็นสำคัญ
มีอรรถวรรณนาที่พระโบราณาจารย์พรรณนาถึงการสร้างพระพุทธบารมีไว้ว่า
นับแต่ชาติที่เป็นสุเมธฤๅษีนั้น พระนิยโตโพธิสัตว์ซึ่งจะได้มาตรัสเป็นพระสมณ
โคดมบรมครูเจ้าแห่งเรานี้ ได้เคยสร้างพระพุทธบารมีมาเป็นอเนกอนันต์คือ

เพียงแต่บริจาคโลหิตในวรกายให้เป็นทาน ถ้าจะประมาณกำหนดหมาย
ก็มากกว่ากระแสน้ำในมหานที

เพียงแต่บริจาคมังสะ คือ เนื้อในวรกายให้เป็นทาน ถ้าจะประมาณกำหนด
หมายก็มากกว่าพื้นแผ่นมหาปฐพี

เพียงแต่ตัดเศียรเกล้าเกสโมลีให้เป็นทาน ถ้าจะประมาณกำหนดหมาย
เอามารวมกองไว้ ก็จะได้กองใหญ่สูงกว่ามหาสิเนรุราชบรรพต

เพียงแต่ควักนัยน์ตาทั้งสองซ้ายขวาให้เป็นทาน ถ้าจะประมาณกำหนดหมาย
ก็จะได้มากกว่าดวงดารากรในนภากาศ

ปรากฏว่าเป็นเวลามากมายหลายชาติทีเดียว ในกาลครั้งยังต้องท่องเที่ยว
เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสาร เพื่ออบรมบ่มพระสัมโพธิญาณพุทธบารมีอยู่นี้
ที่อดีตสุเมธฤๅษีได้เป็นสามีร่วมรักกับเจ้าสุมิตตา กุมารี ตามแรงอธิษฐาน
ของนางเมื่อครั้งถวายดอกอุบล ๘ ดอกแด่สมเด็จพระมิ่งมงกุฎทีปังกรพุทธเจ้า
บางคราวเกิดเป็นมนุษย์บุรุษสตรี ทั้งสองก็ต้องเป็นคู่สามีภริยากัน แม้บางคราว
จะเกิดในกำเนิดสัตว์เดียรฉาน ก็ได้เป็นคู่สู่สมภิรมย์รักไม่พรากจากกันไปได้
ตลอดกาลอัน แสนจะยาวนานถึง ๔ อสงไขยกับเศษอีก ๑๐๐,๐๐๐ มหากัปนี้

ในชาติอันเป็นที่ปัจฉิมสุดท้าย สุเมธฤๅษีและสุมิตตากุมารีบุรุษสตรีซึ่งเป็น
สามีภรรยาคู่สร้างกันมาแต่ปางบรรพ์ สุดที่จะนับประมาณชาติที่เกิดได้นั้น
ต่างก็พากันมาบังเกิดในมนุษย์โลกเรานี้ โดยสุเมธฤๅษีได้มาอุบัติในขัตติยตระกูล
ณ กรุงกบิลพัสดุ์บุรี ทรงพระนามว่า เจ้าฟ้าชายอังคีรสราชกุมาร หรืออีกพระนาม
หนึ่งว่า เจ้าชายสิทธัตถราชกุมาร ส่วนสุมิตตากุมารีสาวโศภาแห่งปัจจันตคาม
คู่สร้างได้มาบังเกิดในขัตติยตระกูล ณ กรุงเทวทหนครเป็นเจ้าฟ้าหญิงทรงโฉม
วิไลลักษณ์ เมื่อทรงจำเริญวัฒนาแล้วก็ได้เป็นเอกอัครมเหสีของเจ้าฟ้าชายสิทธัตถ
ราชกุมาร แห่งกรุงกบิลพัสดุ์บุรี ทรงพระนามว่าสมเด็จพระพิมพายโสธราเทวี

ราตรีกาลวันหนึ่ง เจ้าฟ้าชายสิทธัตถราชกุมาร ผู้มีพระพุทธบารมีเต็มเปี่ยม
ในขันธสันดานอยู่แล้ว ทรงฟื้นจากนิทรารมณ์สถิตนั่งบนบัลลังก์อาสน์ อันมี
ความวิเศษประหนึ่งทิพยบัลลังก์แห่งสมเด็จพระอมรินทราธิราช ได้ทอดทัศนา
เห็นอาการวิปลาสของคณานางบริจาริกราชนารีทั้งหลาย ให้มีพระทัยสังเวช
ยิ่งนัก พิจารณาเห็นสังสารโทษเป็นอันมากทรงปรารถนาจะออกสู่มหาภิเนษกรมณ์
ในราตรีนั้น จึงตรัสสั่งฉันนะอำมาตย์ให้ไปผูกพญาม้ากัณฐกัศวราช ซึ่งเป็นม้า
พระที่นั่งเตรียมไว้แล้ว ทรงมีพระประสงค์จะไปทอดพระเนตรเจ้าราหุลโอรส
ซึ่งประสูติแต่พระพิมพายโสธราเทวีเมื่อไม่นาน จึงอุฏฐาการเสด็จบทจรสู่ห้อง
สิริคัพภไสยาสน์แห่งพระอัครมเหสีพิมพายโสธรา เผยทวารห้องเห็นแสงประทีป
ชวาลาส่องสว่างทอดทัศนาเห็นเจ้าพิมพาราชเทวีบรรทมหลับสนิทเหนือพระแท่น
ที่สิริไสยาสน์ อันดาษไปด้วยสุคนธมาลาประมาณอัมพณะหนึ่ง คือ ๑๒๗ ทะนาน
และพระพิมพาราชเทวีนั้นทอดพระกรประดิษฐานเหนือพระเศียรพระราชโอรส
บ่มิได้รู้สึกพระองค์ ทรงหยุดยืนเหยียบพระบาทบนธรณีพระทวาร เล็งแล
พระราชบุตรและพระราชเทวี แล้วทรงรำพึงว่า

"หากอาตมะจะยกหัตถ์เจ้าพิมพายอดเสน่หา เพื่อจักอุ้มอำลาเจ้าราหุล
โอรสรักก็น่าที่เจ้าพิมพาจักตื่นฟื้นจากนิทรารมณ์ เมื่อเป็นเช่นนี้ อันตรายแห่ง
มหาภิเนษกรมณ์ก็จะพึงมี อย่ากระนั้นเลย อาตมะจักอดใจไว้ก่อน ต่อเมื่อได้สำเร็จ
แก่พระสรรเพชุดาญาณอันบวรแล้วจึงจะกลับมาทัศนาพระลูกแก้วและเจ้าพิมพา
เมื่อภายหลัง"

เมื่อเจ้าชายสิทธัตถราชกุมารบรมโพธิสัตว์ ผู้มีพระอรหัตคุณพุทธบารมี
ญาณแก่กล้า กำหนดพิจารณาระงับเสียซึ่งความเสน่หาในโอรสและเจ้าพิมพา
คู่สร้างบารมีฉะนี้แล้ว ก็ตัดสินพระทัยยกย่างพระบาทจากธรณีพระทวาร เสด็จ
คมนาการโดยด่วนออกสู่มหาภิเนษกรมณ์ ทรงบำเพ็ญทุกกรกิริยา เพื่อแสวงหา
ซึ่งวิมุตติธรรมความหลุดพ้นเป็นเวลาช้านานถึง ๖ พรรษา ก็ได้บรรลุพระปรมา
ภิเษกสัมโพธิญาณ สำเร็จเป็นเอกองค์บรมศาสดาจารย์ ทรงพระนามว่าสมเด็จ
พระมิ่งมงกุฎศรีศากยมุนีโคดม สมจริงตามพระพุทธฎีกาที่สมเด็จพระมิ่งมงกุฎ
ทีปังกรพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ทำนายไว้แต่ปางบรรพ์