สมเด็จพระนางพิมพาภิกษุณี
จาก หนังสือ วิมุตติรัตนมาลี
รจนาโดย พระพรหมโมลี วัดยานนาวา กทม.

วาระนี้ เพื่อเป็นการสดุดีคุณแห่งพระอรหันต์อันวิเศษยิ่งใหญ่ และเพื่อให้ท่าน
ผู้มีปัญญาทั้งหลายได้ศึกษาพิจารณา ประวัติความเป็นไปของพระอรหันต์ตั้งแต่ต้น
จนถึงกาลดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพาน อันเป็นนิสสรณวิมุตติในกาลสุดท้ายสิ้นทั้งผอง
จึงจักขอรวบรวมเอาประวัติของภิกษุณีอรหันต์รูปหนึ่ง ทรงพระนามว่าสมเด็จ
พระนางพิมพาภิกษุณีเถรี ตามความอันปรากฏมีในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา
ที่เป็นอาคตสถานหลายแห่ง โดยจะพยายามนำมาพรรณนาไว้ในที่นี่ตามลำดับ
ดังต่อไปนี้
อดีตกาลล่วงมาแล้ว
นับถอยหลังจากภัทรากัปนี้ไป เป็นเวลานานถึง
๔ อสงไขยกับอีก ๑๐๐,๐๐๐ มหากัป กาลครั้งนั้นเป็น ศุภมงคลกาลที่เรียกว่า
สารมัณฑกัป เพราะเป็นกัปที่มี สมเด็จพระส้มมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติตรัส
ในโลก ๔ พระองค์ คือ
๑. สมเด็จพระมิ่งมงกุฎตัณหังกรพุทธเจ้า
๒. สมเด็จพระมิ่งมงกุฎเมธังกรพุทธเจ้า
๓. สมเด็จพระมิ่งมงกุฎสรณังกรพุทธเจ้า
๔. สมเด็จพระมิ่งมงกุฎทีปังกรพุทธเจ้า
จะกล่าวกลับจับความ จำเดิมแต่ศาสนาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระองค์ที่ ๓ คือสมเด็จพระมิ่งมงกุฎสรณังกรพุทธเจัา ค่อยเสื่อมสลายสูญสิ้นไป
หมดแล้ว โลกเรานี้ก็ว่างจากพระพุทธศาสนา ชั่วกาลพุทธันดรหนึ่ง แล้วจึงปรากฏ
มีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติก็สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เสด็จ
มาอุบัติใหม่นี้ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระมิ่งมงกุฎทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า
เมื่อพระองค์ทรงอุบัติตรัสในโลกแล้วก็ทรงบำเพ็ญพุทธกิจประกาศพระพุทธ
ศาสนา ยังศาสนธรรมให้ขยายแผ่กว้างออกไป เหล่าสัตว์ทั้งในไตรโลก ครั้นได้
สดับรับรสพระสัทธรรมเทศนา ต่างก็พากันประพฤติปฏิบัติตามคำสั่งสอนของ
สมเด็จพระทศพล จนได้บรรลุพระอริยมรรคอริยผล ตามสมควรแก่วาสนา
บารมีแห่งตนเป็นอันมากแล้ว
กาลครั้งนั้น ยังมีพราหมณ์มาณพหนุ่มผู้หนึ่ง ปรากฏนามว่า สุเมธพราหมณ์
เขาเกิดในตระกูลมั่งคั่ง มีทรัพย์สมบัติมหาศาลนับได้มากมายหลายโกฏิทีเดียว
นอกจากนั้นยังเป็นผู้เชี่ยวชาญในเชิงมนต์เฟื่องฟุ้งเรียนจบแจ้งในไตรเพทาง
คศาสตร์ ฉลาดในศิลป์สิ้นทุกประการ วันหนึ่งสุเมธพราหมณ์มาณพหนุ่มผู้นั้น
นั่งอยู่ในห้องรโหฐานอันเป็นที่สงัดแล้วจินตนาการด้วยปัญญาว่า
ธิ ! ดังเราจะติเตียน
อันว่าการก่อภพกำเนิดเป็นรูปกายขึ้นใหม่นี้ ย่อมมี
กองทุกข์ท่วมท้นหฤทัยเที่ยงแท้ อนึ่ง แม้เมื่อชนมชีพแตกพรากจากกาย ทำลาย
ร่างสรีราพยพนั้นเล่า ก็เป็นกองทุกข์ถึงที่สุดใหญ่ยิ่งกว่าทุกข์ทั้งปวง การก่อภพ
ชาติใหม่นี้เป็นทุกข์ใหญ่หลวง เพราะว่าชาติภพก่อให้เกิดชรา แล้วชราก็ก่อให้
เกิดพยาธิ มรณะอันเป็นทุกข์ต่อไปไม่สิ้นสุดก็ในเมื่อชาติ ชรา พยาธิ มรณะ
ซึ่งได้แก่ความเกิด ความแก่ความเจ็บไข้และความตายปรากฏมีขึ้นได้แล้ว
ความไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ก็คงจักมีเป็นแม่นมั่น อย่ากระนั้นเลย
ควรที่เราจะประสงค์เจาะจงแสวงหาความพ้นชาติ ชรา พยาธิ และมรณะนั้น
ให้จงได้ จะเป็นการประเสริฐแท้
อนึ่ง ตัวเราคงต้องตายในวันหนึ่งข้างหน้า ต้องทอดทิ้งสรีระ อันมีสภาวะ
เน่าเปื่อยปฏิกูลนี้ แล้วไปเกิดใหม่ให้ได้ทุกข์อีก อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ไฉนจึงจะ
ยังหนักหน่วงห่วงใยอยู่ด้วยร่างกายปฏิกูลนี้อยู่เล่า ควรที่เราจะพึงหาทางออกไป
เพื่อไม่มีการเกิดเสียเลยดีกว่า ก็แต่หนทางอันประเสริฐนี้ เห็นทีฝูงสัตว์จะพึงพบ
ได้โดยยาก จำเราจะพึงทำความเพียรพยายามให้จงมาก อุตส่าห์เสาะแสวงหาให้
ได้พบจงได้ ความทุกข์ภัยพยาธิมีแล้วฉันใด ความสุขไร้ทุกข์ภัยพยาธิก็คงจักมี
เช่นเดียวกัน เมื่อภพกำเนิดคือความก่อเกิดปรากฏมีแล้วฉันใด วิภวะ คือ
ความไม่ก่อให้เกิดเป็นร่างกายก็คงจักมีเช่นเดียวกัน เปรียบเหมือนเมื่อความร้อน
คือ เตโชธาตุไฟมีอยู่มากแล้ว ความเย็นคืออาโปธาตุน้ำก็มีไว้สำหรับดับความร้อน
แก้กันฉันใดก็ดี เมื่อมีไฟคือความเกิด แก่ เจ็บ ตาย สิ่งที่จะระงับทุกข์ร้ายเหล่านี้
ก็คงมีเป็นแม่นมั่นเสมือนหนึ่งว่าการบาปมีแล้ว ย่อมมีการบุญแก้ ความเกิดมีแน่
ความไม่เกิดอีกเป็นเที่ยงแท้ก็คงจักมี
เปรียบเหมือนบุรุษทรงพลังรักความสวยสะอาด เมื่อเห็นว่าสรีระร่างแห่งตน
แปดเปื้อนคูถเน่าเหม็นร้ายกาจหนักหนา แล้วมาพบสระน้ำซึ่งมีอุทกวารีเย็นใส
ควรหรือที่เขาจะไม่กระวีกระวาดลงไปในสระ เพื่อชำระล้างเนื้อตัวให้หมดมลทิน
ก็เรานี้ในเมื่อมลทิน คือกิเลสที่ควรล้างกำลังแปดเปื้อนติดตัวมีอยู่แล้ว
ดังฤาจะ
ไม่แสวงหาสระน้ำที่มีอมตธรรมเป็นอุทกวารีแล้วรีบล้างเสียซึ่งมลทินคือ
สรรพกิเลสนั้น
อีกประการหนึ่ง เปรียบเหมือนขุนพลจอมโยธีผู้ชำนาญศึกในรณภูมิ ที่ถูก
ข้าศึกศัตรูหมู่ปัจจามิตรมาล้อมไว้ เมื่อเห็นหนทางที่พอจะประลาตหลีกลี้หนี
ไปได้ยังมีอยู่ ควรหรือที่เขาจะหลงมุมานะสู้จนเสียชีวิตไม่คิดหนี ก็ตัวเรานี้
ในเมื่อมีข้าศึกศัตรูคือ หมู่กิเลสมารมารวมรุมหุ้มห้อมล้อมไว้อยู่ทุกทิวาราตรี
และหนทางเป็นที่เกษมเปรมใจคือพระนิพพานอันเป็นที่หลีกหนีย่อมมีอยู่
โดยแท้ เมื่อเป็นเช่นนี้จะไม่คิดแก้ไขหลีกหนีเอาตัวรอดไปหรือไฉน
อีกประการหนึ่ง เปรียบเหมือนชายผู้มีโรคร้ายเข้าเกาะกุมสรีรกายให้ได้รับ
ทุกขเวทนาแสนสาหัส เมื่อได้พบแพทย์วิเศษที่จะสามารถรักษา ควรแลหรือที่
บุรุษนั้นจะไม่คิดอ่านเยียวยารักษาพยาธิแห่งตนให้หายเป็นปรกติดี ก็ตัวเรานี้
ในเมื่อถูกโรคาพยาธิ คือกิเลสาสวะมาย่ำยีบีฑา จะไม่เร่งเสาะแสวงหาแพทย์
พิทยาจารย์ให้พยาบาลขจัดเสียซึ่งโรคาพยาธินั้นหรือไฉน
อีกประการหนึ่ง เปรียบเหมือนชายผู้มีน้ำใจรักความสะอาดและมีซากศพ
อันแรงร้ายกาจด้วยกลิ่นเหม็นเป็นปฏิกูล มาผูกพันกระสันติดอยู่กับคอตน
ควรหรือที่ชายคนนั้นจะทนสู้กลิ่นเหม็นแห่งซากศพอยู่ได้ โดยที่แท้ เขาย่อม
จะร้อนรนขวนขวายปลดเปลื้องซากศพให้พ้นไปจากคอตนเสียโดยพลันฉันใด
ก็ตัวเรานี้ จะมีใจเอื้อเฟื้ออาลัยอาวรณ์ในร่างกายอันเน่าเปื่อยปฏิกูล มากมูล
ไปด้วยซากสางต่างๆนี้ทำไมกัน ทางที่ดีนั้นจะต้องรีบหาทางปลดเปลื้องทอดทิ้ง
เสีย ไม่ต้องห่วงใยเฝ้าอาลัยรัก ปลดเปลื้องทอดทิ้งไปโดยพลัน ให้เหมือนกับ
บุรุษ ทอดทิ้งซากศพที่ผูกอยู่ที่คอนั่นเถิด
อีกประการหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษถูกหมู่โจรร้ายใจฉกาจ มันอาจหาญ
พากันมาปล้น กลุ้มรุมชิงฉวยเอาห่อทรัพย์สมบัติได้แล้ว และบุรุษนั้นเห็นว่าตน
ไม่สามารถจะชิงเอาห่อทรัพย์สินกลับคืนมาได้ เขาย่อมจะสิ้นอาลัยในทรัพย์
ไม่เสียดายหมายแต่จะเอาชีวิตรอดรีบวิ่งหนีไปโดยพลันฉันใด ตัวเรานี้เล่า
ก็มีสรีระร่างอันเปรียบดังหมู่มหาโจรใจฉกาจ สามารถที่จะปล้นผลาญจิตใจ
ให้ขาดจากกุศลธรรมทั้งปวง จำเราจะตัดห่วงเสน่หาในกายทอดทิ้งเสียอย่าให้
มีอาลัยได้ รีบหนีไปในที่ปลอดภัยเหมือนบุรุษที่ถูกโจรปล้นแล้วไม่อาลัยใน
ทรัพย์สมบัติรีบหนีไปฉับพลันฉะนั้นเถิด
สุเมธมาณพผู้มีปรีชา จินตนาการเป็นอุปมาทบทวนย้อนหน้าย้อนหลัง
วิจิตรพิสดารมากมายหลายครั้งดั่งนี้แล้ว ในที่สุดก็ตัดสินใจสั่งให้เปิดคลังทรัพย์
สมบัติของตนมากมายหลายโกฏิสุดประมาณ ออกบริจาคเป็นทานแจกจ่าย
แก่ยาจกวณิพกคนอนาถาและคนที่อยากได้ทั้งปวงจนหมดสิ้นไม่มีเหลือแล้ว
ก็มีใจผ่องแผ้วออกเดินทางแต่ตัวเปล่าเข้าไปสู่อรัญประเทศเขตป่าใหญ่
เมื่อมาถึงที่ใกล้เชิงเขาธรรมิกบรรพต จึงจัดแจงสร้างบรรณศาลาอาศรมบท
เป็นที่อาศัยให้สำเร็จสมอารมณ์หมายภายในไม่ช้า แล้วก็เปลื้องผ้าสาฎกเนื้อดี
ที่ตนครองนุ่งผ้าเปลือกป่านและคากรองบวชเป็นดาบส สร้างพรตพรหมจรรย์
จำเริญสมถกรรมฐาน ภายหลังต่อมาไม่นานก็ละทิ้งเสียซึ่งบรรณศาลาที่อยู่นั้น
เพราะเห็นว่าทำให้เกิดห่วงใยไม่วิเวกเพียงพอ แล้วเดินทางต่อไปจนถึงเขต
อรัญอันไกลลึกเป็นป่าใหญ่ อาศัยร่มไม้รุกขมูลเป็นที่อยู่ เลือกดูผลไม้ที่หล่น
ลงมาเองเป็นประมาณบริโภคเป็นอาหารยาปนมัตเครื่องยังชีพให้ทรงไว้เท่านั้น
มีจิตบากบั่นอุตส่าห์บำเพ็ญเป็นกสิณานุโยค พยายามอยู่ในอรัญสถาน ไม่นาน
เท่าใด ก็สามารถได้บรรลุฝั่งแห่งฌานสมาบัติและอภิญญา
เบื้องว่า สุเมธดาบสผู้ยิ่งด้วยพรตพรหมจรรย์ ท่านได้สำเร็จอภิญญาฌาน
สมาบัติบริบูรณ์ดี มีวสีภาพเซี่ยวชาญชำนาญยิ่งนักแล้วก็ได้แต่เพลิดเพลิน
เจริญฌานเป็นสุขอยู่หนักหนา หารู้ไม่เลยว่า บัดนี้สมเด็จพระชินสีหทีปังกร
สัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เสด็จอุบัติตรัสเป็นพระบรมโลกนาถแล้ว ความจริงนั้น
ควรที่ท่านดาบสจะรู้ เพราะธรรมดาวิสัยผู้ได้อภิญญาฌานสมาบัติ ย่อมจักมี
โอกาสรู้เห็นนิมิตในกาลทั้ง ๔ ก่อน คือ
=> กาลเมื่อท่านผู้จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จมาถือปฏิสนธิในโลกนี้
=> กาลเมื่อท่านผู้จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประสูติจากพระครรโภทร
=> กาลเมื่อได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณอันประเสริฐ
=> กาลเมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงมีพระมหากรุณา
แสดงพระธรรมจักรเทศนา
กาลสำคัญทั้ง ๔ ซึ่งสุเมธดาบสมิได้รู้เห็นนี้ ก็เพราะเหตุที่ท่านเป็นผู้เพลิด
เพลินเจริญฌานอันเป็นส่วนตนหนักยิ่งนักอยู่ในจิต ด้วยมิได้ใฝ่ใจคิดดูซึ่งเหตุ
อื่นเลย จึงมิได้เห็น มิได้รู้ว่าสมเด็จพระสัพพัญญูเจ้าทีปังกรทรงอุบัติขึ้นแล้ว
ในโลก ต่อเมื่อหมู่มหาชนเป็นอันมาก พากันอาราธนาสมเด็จพระผู้มีพระภาค
เจ้าทีปังกร ซึ่งทรงมีพระคุณบวรวิเศษให้ทรงพระมหากรุณาเสด็จมายัง
ปัจจันตประเทศ จึงเกิดเหตุมหาโกลาหลเป็นการใหญ่ด้วยว่าฝูงชนทั้งหลาย
ซึ่งมีความเลื่อมใสชื่นชมโสมนัสต่างก็พากันจัดแจงแต่งหนทางแผ้วถางเกลี่ย
มูลพูนถม ระดมกันกระทำทางเป็นที่เสด็จพระพุทธดำเนินอยู่
ในขณะนั้น สุเมธดาบสผู้มีตบะอันสูง เพราะบรรลุถึง ฝั่งแห่งอภิญญาฌาน
สมาบัติเที่ยวจาริกมาทางอากาศกลางเวหา มองลงมายังพื้นพสุธา ได้เห็น
ประชาชนประชุมกันอยู่เป็นหมู่มาก แลดูหลากประหลาดรื่นเริงบันเทิงจิต
น่าพิศวง ดาบสผู้มีฤทธิ์จึงเหาะลงมาจาก คัคนัมพรห้องเวหาหาว แล้วมีพจนะ
ประภาษถามข่าวคราวชาวมนุษย์หมู่นั้นว่า
ดูกรท่านทั้งปวง มหาชนชวนรื่นเริงบันเทิงจิต ชวนกันประกอบกิจ
แผ้วถางปฐพีโสภโณภาส เพื่อบุคคลผู้ใดจะจรมา มหาชนทั้งปวงได้ฟังท่าน
ดาบสถาม จึงแจ้งความว่า
ข้าแต่ท่านฤๅษี สมเด็จพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้อนุตรโลกนาถยอด
บุคคลเสด็จอุบัติขึ้นในโลกแล้ว กาลบัดนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลายมีใจเลื่อมใสใน
พระองค์เป็นยิ่งนัก จึงชักชวนกันแผ้วถางทางเพื่อให้เป็นที่เสด็จพระพุทธดำเนิน
ณ สถลมารควิถีเพื่อที่จะได้เสด็จมาแสดงพระธรรมเทศนาโปรดพวกเรา
ชาวเมืองนี้
สุเมธาฤๅษีผู้มีฤทธิ์ เมื่อสดับพระพุทธนามแต่เพียงคำว่า สมเด็จพระทีปังกร
สัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบังเกิดขึ้นแล้วในโลกเท่านั้น ก็พลันเกิดปีติเป็นล้นพ้นสุด
ประมาณจึงมาจินตนาการว่า กาลนี้ควรที่ตัวเราจักหว่านพืชเพื่อผล ขณะนี้ก็เป็น
มงคลสมัยอุบัติมี หาควรที่เราจะมาทำละเมินเสียไม่ ครั้นคำนึงจินตนาในใจด้วย
อำนาจศรัทธากอบด้วยญาณโสมนัสฉะนี้แล้ว จึงกล่าวขออนุญาตชนเหล่านั้นว่า
แม้นท่านทั้งหลายถางทางถวายพระพุทธเจ้าละก็ ขอจงอนุญาตให้โอกาส
แก่เราสักแห่งหนึ่งเถิด เรานี้เกิดศรัทธาปรารถนาจะทำทางถวายพระพุทธเจ้าบ้าง
ครั้งนั้น ชนทั้งหลายเห็นว่าท่านฤๅษีเป็นผู้มีฤทธิ์เดช เพราะสามารถเหาะเหิน
เดินมาโดยทางนภากาศได้ ก็เลยพากันชี้มือไปตรงบริเวณที่ซึ่งถากถางยากลำบาก
เพราะมีเปือกตมโคลนเลน เป็นบริเวณที่ต้องถมต้องหามูลดินมาเกลี่ยให้เสมอ
เป็นอันดี แล้วบอกอนุญาตแก่สุเมธฤๅษีว่า
แม้นท่านปรารถนาจะทำทางถวายแก่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าร่วม
กับพวกเราในกาลครั้งนี้แล้วไซร้ ท่านก็จงทำบริเวณที่ตรงนั้นให้สำเร็จด้วยดีเถิด
ท่านฤๅษี
สุเมธดาบสผู้มีใจเลื่อมใสในองค์สมเด็จพระจอมไตรโลกนาถครั้นเขายก
อนุญาตให้ทำทาง ณ สถานที่นั้นแล้ว ก็มิได้รอช้า อุตสาหะตั้งหน้าประกอบการ
โดยมีจิตวารรำพึงถึงพระพุทธนามว่าพุทโธ...พุทโธ...พุทโธ...อยู่เป็นนิตยกาล
แผ้วถางสถานที่ให้เตียนโล่งเป็นอันดีแล้วก็เปลื้องหนังเสือที่รองนั่งออกผูกทำ
เป็นถุงกระทอห่อหิ้วมูลดินเอามาเทถมระดมสาดในที่ซึ่งเป็นที่ลาดลุ่มลึก
เป็นเลนเหลวอยู่นั้นยังมิทันที่จะทำได้สำเร็จตลอด เหลืออยู่ยาวประมาณชั่ว
ตัวบุรุษ ก็มีเสียงอุโฆษณาการกึกก้องป่าวร้องให้เป็นที่รู้กันว่า ได้เวลาที่สมเด็จ
พระมิ่งมงกุฎพุทธทีปังกรศาสดา เสด็จพาพระขีณาสพสงฆ์มากมายมาใกล้จะถึง
เสียงศัพท์บรรเลงอื้ออึงด้วยสำเนียงทวยเทพสุภสุรคณานิกรเป็นถ่องแถว
แนวสลอนด้วยมหาชนอเนกแน่น ทำปัจจุคมนาการทั้งนำเสด็จพระพุทธดำเนินมา
บางหมู่ก็ประโคมดุริยดนตรีแตรสังข์กังสดาลฆ้องกลองก้องสนั่นศัพท์ แซ่ซ้อง
สาธุการเอิกเกริก โสมนัสหนักหนา ทั้งเทพยดาและมนุษย์ต่างก็มีกรประณม
มิได้คลายเคลื่อนและละลานเลื่อนตามเสด็จพระพุทธดำเนินมา ฝูงเทพยดา
ก็ประโคมทิพยดนตรี หมู่มนุษย์ก็ประโคมดีดสีตีเป่าตามประสามนุษย์ดำเนิน
นำและตามเสด็จพระพุทธลีลาเทพยดาบางพวกก็โปรยปรายทิพยบุปผา
มีดวงดอกทิพยมณฑารพโกสุมเป็นประธานลอยเลื่อนเคลื่อนทั่วทั้งทิศานุทิศ
ณ เบื้องบนนภากาศมนุษยชาติบางพวกก็ยกขึ้นซึ่งเครื่องสักการบูชาล้วนแต่
เครี่องหอม แห่ห้อมล้อมจรลีตามเสด็จพระพุทธทีปังกรมาด้วยความ
เลื่อมใสศรัทธา
กาลครั้งนั้น สุเมธดาบสผู้มีศรัทธาจิต ก็อธิษฐานอุทิศชีวิตถวายแก่พระ
พุทธองค์จึงปลดเปลื้องชฎาสยายเกสา ลาดปูผ้าเปลือกไม้กับหนังเสือรองนั่ง
บนเปือกตม แล้วก็ทอดกายนอนคว่ำหน้าลงต่อถนนที่ขาดลาดลุ่มเป็นเลนเหลว
ซึ่งเป็นบริเวณที่ตนยังทำไม่แล้วเสร็จนั้น พลันตั้งจิตอุทิศถวายว่า
"ขออาราธนาสมเด็จพระพุทธองค์ จงทรงพระมหากรุณาพาพระมหา
ขีณาสพสงฆ์ทั้งหลาย เสด็จเหยียบย่างพระบาทดำเนินไปบนกายแห่งข้าพระองค์
อันทอดเป็นสะพานนี้เถิด เพื่อจะได้เกิดประโยชน์โสตถิผลอันยิ่งใหญ่แก่ข้า
พระองค์ขอสมเด็จพระทรงสิริสวัสดิ์จงอย่า ได้ทรงย่างพระบาทหลีกลงเลียบ
ลุยเลนเหลวนี้เลย"
แล้วก็หมอบคว่ำหน้านิ่งเฉย เพื่อรอให้สมเด็จพระทีปังกรพุทธเจ้าพาพระ
มหาขีณาสพสงฆ์ เสด็จพระพุทธดำเนินเหยียบไปบนเบื้องหลังกายตน ซึ่งทอด
เป็นสะพานอยู่อย่างนั้น ด้วยน้ำจิตมั่นไปด้วยศรัทธาเลื่อมใสยิ่งหนักหนา
มีกรณีที่ท่านผู้มีปัญญาควรจักทราบไว้ในตอนนี้ ก็คือว่า ในขณะนี้ หาก
สุเมธฤๅษีผู้มีฤทธิ์ ซึ่งนอนทอดกายเป็นสะพานให้สมเด็จพระทีปังกรบรมศาสดา
จารย์ทรงเหยียบเสด็จพระพุทธดำเนินไป เพื่อไม่ให้พระยุคลบาทแปดเปื้อน
โคลนตมแลเลนเหลวนี้ เธอจักมีความปรารถนาหน่วงเอาอมตธรรมกำจัดกิเลส
เสียให้ขาดจากขันธสันดานในเวลาวันนั้น ก็จักได้สำเร็จเป็นพระอรหันตมหา
ขีณาสพเจ้าอย่างแน่นอนทั้งนี้ก็เพราะว่าอุปนิสัยแห่งพระอรหัตคุณรุ่งเรืองแก่
กล้าเต็มอยู่ในขันธสันดานแล้ว เพียงแต่ได้สดับพระธรรมเทศนากึ่งบาทพระคาถา
ก็จักได้สำเร็จเป็นพระอรหันตมหาขีณาสพเจ้าทันที แต่สุเมธฤๅษีผู้นี้ มิใช่คน
ธรรมดาสามัญ โดยที่แท้ เธอเป็นพระโพธิสัตว์สร้างบารมีเพื่อพระปรมาภิเษก
สัมโพธิญาณปรารถนาการได้ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัพพัญญูพุทธเจ้ามานาน
นับได้ ๒ กาลแล้ว คือ
๑. กาลอันเป็นส่วน มโนปณิธาน โดยดำริในใจว่า เราจักเป็นพระพุทธเจ้า
สักพระองค์หนึ่งให้จงได้ในอนาคต ได้แต่เพียงกำหนดนึก ในใจอยู่เช่นนี้
อย่างเดียวมิได้ออกโอษฐ์ออกวาจาแต่ประการใด ก็นับเป็นเวลานานได้
ถึง ๗ อสงไขย
๒. กาลอันเป็นส่วน วจีปณิธาน โดยออกโอษฐ์ปรารถนาว่า เราจักตรัส
เป็นพระพุทธเจ้าสักองค์หนึ่ง ในอนาคตกาลเบื้องหน้าให้จงได้ แล้วก็สร้าง
พระบารมีเพื่อพระสัมโพธิญาณ พร้อมกับออกโอษฐ์ตั้งความปรารถนาอยู่
อย่างนั้นตลอดมานับเป็นเวลานานได้ ๙ อสงไขย
โดยเหตุที่ท่านสุเมธฤๅษี เธอมีอุปนิสัยควรแก่การที่จะได้ตรัสเป็นองค์
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตกาล เพราะอุตสาหะสั่งสมอบรมบารมี
เพื่อพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณมานานถึงกาล ๒ ส่วน คำนวนได้ ๑๖ อสงไขย
เช่นนี้จึงทำให้ท่านฤๅษีเกิดความคิดอันบรรเจิดจ้าขึ้นในเวลานั้นว่า
"จะมีประโยชน์โสตถิผลอันใหญ่หลวงอย่างไร หากว่าเราจะได้อมตธรรม
แต่เพียงลำพังตนคนเดียว จะมีประโยชน์โสตถิผลใหญ่หลวงอย่างไร ด้วยการ
ได้ข้ามโอฆสงสารแต่เพียงลำพังตนคนเดียว ต่อเมื่อใดตัวเราได้บรรลุถึงความ
เป็นพระสัพพัญญูข้ามโอฆสงสารแล้ว เมื่อนั้น เราจักยังสัตว์ทั้งปวง ทั้งมนุษยโลก
แลเทวโลกให้ข้ามได้ด้วย เราจักยังสัตว์ทั้งหลายให้ขึ้นสถิตสำเภาธรรม ช่วยส่ง
ให้ลุล่วงข้ามถึงฝั่งแห่งพระนฤพานเช่นกับองค์สมเด็จพระบรมโลกุตมาจารย์
ทีปังกรนี้ให้จงได้ "
จินตนาการไปโดยเห็นแก่ประโยชน์อันยิ่งใหญ่ในอนาคตเสียเช่นนี้
สุเมธฤๅษีจึงไม่ปรารถนาเป็นสาวกเพื่อสดับรสพระธรรมเทศนาให้ได้สำเร็จเป็น
อรหันต์ในกาลครั้งนั้นแต่อย่างใด
ฝ่ายสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้นเสด็จมา
ถึงทอดพระเนตรเห็นซึ่งดาบสมีลักษณาการแปลกประหลาดพิกลนอนทอดตน
ให้เป็นสะพาน ท่ามกลางมรรคาอันมีเปลือกตมเป็นเลนเหลวเช่นนั้น จึงเสด็จ
เข้ามาใกล้สถิตอยู่ ณ เบื้องเศียรเกล้า แห่งสุเมธฤๅษี ทรงพิจารณาดูด้วย
สัพพัญญุตญาณแล้ว ก็พลันมีพระพุทธฎีกาตรัสประกาศแก่ประชาชนพุทธบริษัท
ทั้งหลายในที่นั่นว่า
"ดูราท่านทั้งปวงเอ๋ย ! ถ้าท่านทั้งหลายแคล้วคลาดจากอมตธรรมไม่ได้
บรรลุธรรมวิเศษในศาสนาแห่งเราตถาคตนี้แล้ว และยังจะต้องท่องเที่ยวอยู่ในภพ
สงสารนานไปในอนาคตกาลเบื้องหน้าแล้วไซร้ ขอท่านทั้งหลายจงปรารถนา
ให้ได้บรรลุธรรมวิเศษคือมรรคผลนิพพานในศาสนาของดาบสผู้นี้เถิด ด้วยว่า
ต่อไปภายหน้าดาบสผู้นี้จักได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งเหมือนกัน
เปรียบปานบุรุษทั้งหลายที่ว่ายข้ามมหานที แม้มาตรว่าจะคลาดเคลื่อนจาก
ท่าเหนือข้ามขึ้นไม่ได้แล้ว ก็คงจะข้ามขึ้นจากท้องนทีได้ ณ ท่าน้ำตอนใต้ต่ำ
ลงไปอีก เป็นอันแน่แท้ฉันใด แม้ท่านทั้งหลายเมื่อคลาดเคลื่อนไม่ได้มรรคผล
นิพพานอันเป็นธรรมวิเศษในศาสนาแห่งเรานี้ หากมีวาสนาบารมีก็คงจะได้
สำเร็จในศาสนาของดาบสนี้เป็นแม่นมั่น เพราะดาบสนี้เธอสั่งสมบรมโพธิสมภาร
เป็นพุทธังกูรหน่อพระชินสีห์โพธิสัตว์มานานสืบไปเบื้องหน้าในอนาคตกำหนดได้
๔ อสงไขยแสนมหากัป เธอจักได้ตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์หนึ่งซึ่งทรง
พระนามว่าสมเด็จพระศรีศากยมุนีโคดมบรมครู"
เมื่อองค์สมเด็จพระสัพพัญญูทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีพระพุทธฎีกา
ตรัสพยากรณ์ฉะนี้แล้ว ก็ทรงสงเคราะห์ยกทักขิณบาทเบื้องขวาขึ้นจดกายดาบส
ก่อน แล้วก็เสด็จบทจรพาพระมหาขีณาสพสงฆ์เหยียบกายสะพานนั้นไปพอ
เป็นการฉลองศรัทธา ฝ่ายว่าเทพนิกรนาค ครุฑ มนุษย์ คนธรรพ์ เมื่อได้สดับ
พระพุทธฎีกาดั่งนั้นต่างก็น้อมหัตถ์ขึ้นนมัสการมหาดาบสสุเมธมุนีด้วยความ
ชื่นชมโสมนัสยินดีทุกถ้วนหน้า
|