พระกาฬุทายีพรรณนาสถลวิถี
จะกล่าวถึงสมเด็จพระเจ้าสิริสุทโธทนราชาธิบดี ซึ่งทรงเป็นพระพุทธบิดา
ตั้งแต่เจ้าชายบวรดนัยเสด็จออกสู่มหาภิเนษกรมณ์ ก็ทรงโศกเศร้าและคอยสดับ
ข่าวอยู่เนืองๆ ครั้นทรงทราบว่าเจ้าฟ้าราชโอรสได้ตรัสแก่พระปรมาภิเษก
สัมโพธิญาณ สำเร็จเป็นเอกองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบรมศาสดาจารย์แล้ว
ก็ทรงมีพระทัยผ่องแผ้วปรารถนาจักได้ทอดทัศนาองค์ปิโยรสแห่งตน ทรงใช้
อำมาตย์ผู้ใหญ่ถึง ๙ คนพร้อมกับบริวาร ให้ไปอาราธนาเพื่อเสด็จกลับมายังกรุง
กบิลพัสดุ์ถึง ๙ ครั้ง ก็เงียบหายไปไม่ได้ผล เพราะชนเหล่านั้นพากันออกบวชใน
สำนักแห่งองค์พระสัพพัญญูเจ้าเสียสิ้น ในที่สุด ทรงพิจารณาเห็นแต่อำมาตย์ผู้
หนึ่ง ซึ่งมีนามว่า กาฬุทายีอำมาตย์ ว่าเจ้ากาฬุทายีผู้นี้เป็นสัพพัตถสาธกามาตย์
สำเร็จในสรรพราชกิจ แล้วก็เป็นผู้ที่ไว้ใจใช้ชิดสนิทเสน่หา เกิดร่วมวันทันเวลา
ประสูติแห่งปิโยรส ได้เป็นสหายเพื่อนเล่นฝุ่นทรายมาด้วยกันแต่ยังทรงพระเยาว์
เข้าใจว่าเจ้ากาฬุทายีผู้นี้เห็นทีจะใช้ได้เป็นมั่นคง จึงทรงให้เรียกมาสู่ที่เฝ้าแล้ว
ตรัสว่า
"ดูกรพ่อกาฬุทายี เรานี้มีความปรารถนาจะได้เห็นปิโยรสแห่งเราผู้จาก
ไปนาน เฝ้าใช้อำมาตย์ผู้ใหญ่ไปหลายคนแล้วก็ยังไม่ได้การและตัวเรานี้ก็แก่เฒ่า
แล้วจะมีชีวิตอันตรายเมื่อใดก็มิรู้ได้ เมื่อมีชีวิตอยู่ ก็ใคร่ที่จะได้เห็นพักตร์โอรสรัก
เจ้าจักอาสาไปทูลอาราธนาสมเด็จพระบรมศาสดาผู้เป็นปิโยรสแห่งเราให้เข้ามายัง
กรุงกบิลพัสดุ์นี้ เพื่อให้เราทัศนาสมประสงค์ จะได้หรือมิได้ประการใด"
กาฬุทายีอำมาตย์ผู้มีปรีชา ก็กราบบังคมทูลรับอาสาว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงเป็นนฤบดี ข้าพระบาทนี้จักไปทูลเชิญเสด็จพระบรม
สรรเพชญบวรดนัยของพระองค์ ให้มาสู่พระนครจงได้ดั่งพระราชประสงค์ แต่ขอ
จงทรงพระกรุณาโปรดอนุญาติให้ข้าพระบาทได้บรรพชาด้วยเถิด พระเจ้าข้า"
"เจ้าปรารถนาจะบรรพชาหรือไม่ประการใด ก็ตามแต่ชอบใจของเจ้าเถิด
เรานี้มิได้ขัด แต่ขอให้ได้ทัศนาการพระปิยบุตรสมดุจกมลปรารถนาในคราวนี้
ก็เป็นที่ยินดีแห่งเรายิ่งนักแล้ว"
กาฬุทายีอำมาตย์ได้สดับพระราชดำรัสฉะนี้ ก็จำทูลพระราชสาส์นไปกับบุรุษ
บริวารพันหนึ่ง ถึงกรุงราชคฤห์แล้วเข้าสู่พระเวฬุวัน ทัศนาการเห็นพระพุทธองค์
ตรัสพระสัทธรรมเทศนาจึงหยุดอยู่ ณ ที่สุดแห่งหมู่บริษัท ตั้งใจสวนาการพระสัท
ธรรมเทศนา ในไม่ช้าก็สามารถส่งกระแสใจไปตามพระพุทธฎีกา ยังวิปัสสนา
ญาณให้จำเริญวัฒนาการขึ้นตามลำดับจนได้บรรลุพระอรหัตผลญาณอันเป็น
ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ จึงขอบรรพชาอุปสมบทในพระพุทธศาสนา ก็ทรงมีพระพุทธ
ฎีกาโปรด ประทานอุปสมบทให้ด้วยเอหิภิกขุบรรพชาแต่เพลาวันนั้น
ท่านพระกาฬุทายีอรหันต์ใหม่ พักอยู่ที่เวฬุวันเมืองราชคฤห์ได้ ๗ วัน
พิจารณาเห็นว่า กาลบัดนี้ เพิ่งจะย่างถึงฤดูร้อน มนุษยนิกรทั้งหลายก็เก็บเกี่ยว
ข้าวเสร็จแล้ว และมรรคาที่จะเสด็จไปกรุงกบิลพัสดุ์ก็ชุ่มชื่นดื่นดาษด้วย
ติณชาตินานาพรรณ พื้นพนสัณฑ์นั้นก็เรี่ยรายไปด้วยบุปผชาติอันหล่นลง
เกลื่อนกลาดพสุธา สมควรที่องค์สมเด็จพระบรมศาสดาจักเสด็จพระพุทธ
ดำเนินไปโปรดพระพุทธบิดร ณ มหานครกบิลพัสดุ์ และสงเคราะห์พระขัตติย
วงศ์ศากยราชยิ่งนัก แล้วพระผู้เป็นเจ้าก็มีจิตผ่องแผ้วเข้าไปสู่สำนักสมเด็จ
พระชินสีหเจ้าในวันเพ็ญผคุณมาส ถวายอภิวาทแล้ว ก็กล่าวสรรเสริญสถล
วิถีสดุดีคุณแห่งมรรคา เพื่อประโยชน์จะให้เสด็จพระพุทธลีลาไปสู่นครแห่ง
พระพุทธบิดา โดยนัยอันวิจิตรพิศดารว่า
"ข้าแต่สมเด็จพระสัพพัญญูเจ้าผู้ทรงศุภสวัสดิเจริญด้วยสิริโสภาคย์
กาลบัดนี้อรัญรุกขชาติทั้งหลายล้วนทรงไว้ซึ่งเรือนพุ่มอันงาม ผลัดเสีย
ซึ่งใบแก่ออกใบอ่อนกอบด้วยช่ออรชร ผลิซึ่งผลโสภณไพโรจน์ไปทั้งป่า
ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงมหาพิริยภาพ ในสมัยนี้สมควรที่องค์สมเด็จพระ
ชินสีหเจ้า พระองค์ผู้มีพระฉวีพรรณโอภาสแผ่ออกจากพระสรีรกาย จะเสด็จ
พระพุทธลีลาไปโดยสถลพนัสนั้น
อนึ่ง รุกขชาติทั้งหลายวิจิตรไปด้วยยอดแดงออกใหม่ มีพรรณอันแดง
ประดับไปด้วยใบระบัดอ่อนทุกกิ่งก้าน ปานประหนึ่งว่ารัตนมณฑปปกป้อง
ณ เบื้องบน สถลมารคทั้งสองข้างอรัญวิถี ก็มีพฤกษชาติหลายหลากล้วนทรง
กุสุมชาติเบ่งบานหอมระรื่นรสสุคนธาควรเจริญใจ บ้างก็ทรงผลดิบห่ามสุกไสว
อเนกประการ ล้วนเป็นผลาหารอันกอบด้วยโอชารสควรจะบริโภค บรรเทา
เสียซึ่งความอยากระงับความกระวนกระวาย ในพฤกษชาติทั้งหลายล้วนมี
โอภาสอันเขียวครุวนาดุจกำหางแห่งนกยูง มีสาขารื่นรมณียสถาน ปานประหนึ่ง
ว่าจะชักชวนชนที่เดินทางทั้งหลายให้หยุดพักพำนักให้เหือดหายกายที่เหน็ด
เหนื่อยมา มีทั้งสุมทุมพุ่มลดาประดับด้วยบุษยมาลี และประหนึ่งมณฑปดูชัฏชื่นช่อ
อรชรอุดม ฟุ้งขจรเกสรกุสุมเสาวรสตลบละเวงไพร สรรพคณาวิหคน้อยใหญ่วิจิตร
ด้วยนานาพรรณ มีนิลวรรณเป็นต้นยลตระการตาต่างไขขานศัพท์โดยภาษา
ดุจประโลมด้วยมธุรสำเนียงเสนาะควรจะเปรมปรีดิ์ อีกทั้งสัตว์จตุบาทมฤคชาติ
ก็มีพรรณพิไลต่างๆบ้างก็เชิดชูหางเหลือบเล็งเพ่งพิศดวงเนตรงามเจริญตา
บ้างก็แล่นถลาไปสู่ทิศานุทิศโดยรอบ
พื้นภูมิภาคทั้งปวงก็กอบด้วยหญ้าแพรกพรรณเขียวขจี ทั้งกุสุมมาลีก็หล่น
ลงเรี่ยราย อาเกียรณ์ไปด้วยทรายสะอาดสะอ้านปานประหนึ่งดาษด้วยแก้วมุกดา
ดูผลพฤกษาก็สุกเหลืองรุ่งเรืองดุจสีทองไปทั่วทิศ ทั้งสกลแนวทางก็ราบรื่นดุจ
แสร้งสร้างประดิษฐ์ตกแต่งเสมอเป็นอันดี บริเวณพนาลีก็แสนสุขสนุกสำราญ
ดุจทิพยนันทวันอุทยานสวนสวรรค์อันวิจิตรด้วยวิวิธนานาทุมชาติ ล้วนทรง
กุสุมเสาวคนธ์สะอาดควรจะอภิรมย์ มีทั้งสระโบกขรณีอันอุดมเดียรดาษด้วย
รุกขชาติปุณฑริกปทุมชุ่มช่อชูไสว กระแสสินธุ์ก็เย็นใสบริสุทธิ์เต็มเปี่ยมบริบูรณ์
มิได้บกพร่อง ละอองเกสรสุคนธขจรขจายมิหายหอม เป็นที่หรรษาปราโมทย์
แก่หมู่มนุษยนิกรอมรบริษัทที่ได้ทอดทัศนา ฝูงสกุณปักษาก็ถลาร่อนลงจับอาศัย
ในอุบลบุปผชาติอันเบิกบานต่างไขขานศัพท์สารภิรมย์ ชมเชยคู่อยู่สะพรั่งเพรียก
พร้องจำนรรจาอย่างเบิกบาน บ้างก็คาบเอาเกสรปทุมมาลย์แล้วบินโผไปโดยทิศ
ต่างๆ พลางร้องแซ่สุนทรถ้อยแก่กันกลิ่นโกสุมบุปผชาตินั้นก็หอมเฟื่องฟุ้งไป
ในทศทิศาดล
อนึ่ง ในเถื่อนสถลทุรสถาน ก็มีทั้งคชสารซับมันสัญจรเที่ยวท่องข้ามท้องนที
คีรีห้วยละหานแลรกชัฏ เปล่งศัพท์โกญจนาทก้องสำเนียงเสียงพิลึก จะได้สดับ
ทั้งเสียงสินธุธาราอันไหลหลั่งดังครั่นครึกอุโฆษควรจะพิศวง แล้วจะได้เห็นหมู่
โมรคณามีแวววงอลงกตในกําหางอย่างแสร้งวาดดูวิจิตรโศภา มีโลมาเวียนวะวับ
ประดับสอดสีขนเขียวขจีคืออินทนิล และมีบางหมู่มยุราบ้างก็ย่างย้ายรำแพน
แผ่ฟ้อน พร้อมด้วยนิกรคณายูงยุรยาตรอยู่บนยอดมณีบรรพตอันสูง เปล่งมธุร
สำเนียงแข่งขานกันต่างๆบางเหล่าคณานกอเนกนานาชาติก็พิลาสด้วยสีขน
โสภณไพจิตร สถิตบนคีรีรายเรียงเปล่งศัพท์ซ้องเสียงเซ็งแซ่ สดับโสตเสนาะ
มโนภิรมย์ บนเนินสิงขรพนมก็อาเกียรณ์เดียรดาษด้วยบุปผชาติเบ่งบาน
ล้วนทรงสุคนธหอมหวานเฟื่องฟุ้งรุ่งเจริญจิต พื้นภูมิภาคภูผาก็โสภาพรรณ
ไพโรจน์รุ่งเรืองไปโดยรอบ กอบด้วยเหวละหานธารเซาะชำเราะรินสินธ
ุฟองฝอยย้อยหยาดกระเซ็นซ่าน ปานประหนึ่งวัสโสทกตกแต่ทิฆัมพรากาศ
เยือกเย็นเช่นหยาดทิพย์อุทกธาราสวรรค์ ในนันทโบกขรณีแห่งท้าวเทพ
โกสียสักกเทวราชก็ปานกัน
อนึ่ง ทั้งสองข้างอรัญมรรคา ก็เรียงรายระดับด้วยบึงบ่อท่อธารควรจะเบิกบาน
บันเทิงจิตแห่งพระโยคาวจรบรรพชิตที่บำเพ็ญเพียรเล่าเรียนเจริญธรรมคันถธุระ
สมถวิปัสสนา ตามระยะมรรคาก็มีคามนิคมอุดมด้วยอาหารภัตนานัปการ มิได้
กันดารด้วยบิณฑบาต บรรดา อเนกนรชาติก็กอบด้วยศรัทธา ปรารถนาจะใคร่พบ
เห็นพระทศพล ล้วนแต่ขวนขวายในการกุศลสรรพสิ่งสุจริต
อนึ่ง พื้นพนสัณฑ์ก็วิจิตรไปด้วยโกสุมเรณูอันตกต้อง หมู่ภมรผึ้งภู่และ
หมู่แมลงทับทองลงดื่นดาษ คลึงเคล้าเอารสเรณูบุปผชาตินานา มีทั้งดงอ้อแฝกคา
สองข้างทางทุรพนัส ร่มแสงสุริยาครุวนาดุจกางกั้นด้วยฉัตรไปตลอดหนทาง ในที่
ระหว่างทางระยะละโยชน์ ก็มีบ้านตำบลหนึ่งไปโดยลำดับมรรคาวิถี เป็นหนทางที่
หยุดพักสำนักมิได้ลำบาก มีทั้งศาลาและโรงใหญ่กว้างดีมาก อีกบึงบ่อพออาศัย
เป็นสุขไปทุกถิ่นสถาน ทั้งสระสวนสนุกสำราญอารมณ์รำงับร้อน วายุรำเพยพัด
อ่อนพาเย็นสบาย กาลนี้พื้นนภากาศก็กระจ่างขจายขจัดจากเมฆ พลาหกมิได้ปกปิด
กำบัง ทั้งทิพากรรังสีก็อ่อนแสงมิได้จำรัสแรงร้อนกล้า เป็นสมัยที่สมเด็จพระบรม
ศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าสมควรจะเสด็จพระพุทธดำเนินไป โดยอรัญมรรคาใน
กาลครั้งนี้เถิด พระเจ้าข้า
อนึ่ง อันว่าราชธานีซึ่งมีนามบัญญติว่ากรุงกบิลพัสดุ์มหานครก็อลังกรณ์ด้วย
อเนกนานาบริโภคภิรมย์สำราญปานประดุจเทพธานี มิฉะนั้นเปรียบประดุจบุรีใน
อุตรกุรุทวีปวิจิตรไปด้วยเชิงเทินและปราการซุ้มทวารป้อมค่าย ภายนอกก็มีคู
แวดล้อมโดยรอบ กอบด้วยห้องแห่งสินธุธารา ดาดาษล้วนเบญจโกมลกุมุทชาตินานา
ทั้งถ่องแถวสถลมรรคาอันพิจิตรพิศเพียงสุทัศนเทพนคร เป็นที่สโมสรสถิตสำนัก
แห่งอัครบรมขัตติยศากยโอรสราชกุมาร ผู้ทรงซึ่งโสภณวิภูษนอลังการ ปานประหนึ่ง
เทพบุตรบริสุทธิ์สุภาภรณ์ในอมรเทวโลก ทั้งองค์สมเด็จพระสิริสุทโธทนมหาราชาธิบดี
ก็มีพระกมลอาโภคเพื่อจะทัศนาการซึ่งพระบรมศาสดาจารย์อัครปิยบุตรเป็นหนักหนา
แม้ว่ามิได้เห็นองค์พระพุทธชินวงศ์แลมิได้ทรงสดับพระพุทธฎีกาก็คงจะมีพระกมลอุรา
แสนโศกาครอบงำ ซ้ำทวีเทวษบ่มิวายพระหฤทัยโทมนัส ข้าพระบาทปรารถนาจะให้
พระพุทธองค์เสด็จไปเล้าโลมพระทัยบรมกษัตริย์ ให้เสื่อมสร่างโศกาดูรเทวษ
เมื่อสมเด็จบรมนรินทร์ผู้เป็นปิ่นประชาได้ทอดทัศนาพระพุทธศาสดา ก็จะมีพระ
กมลปรีดาปราโมทย์มโนภิรมย์ คงจะบรรเทาเสียซึ่งความเกรียมตรมทุกข์บำราศ
อันมีมานาน
ข้าแต่องค์พระบรมศาสดาจารย์ปิ่นปราชญ์ประเสริฐด้วยญาณวิมุตติ
กาลบัดนี้สมควรที่พระองค์ผู้ทรงเป็นมกุฎเกสนิกรประชาเทพามนุษย์ จักเสด็จ
พระพุทธดำเนินไปสู่สำนักพระเจ้าสิริสุทโธทนาพระราชบิดา ประชาชนที่มี
ประโยชน์ด้วยการกระทำนาก็ไถหว่านซึ่งพืชพันธุ์ธัญญาหารได้ผลดีเป็นที่ปรีดา
ชนชาวพาณิชทั้งหลายที่มิได้กระทำนาก็มาซื้อหาไปสีตำกระทำเป็นตัณฑุลชาติ
และการไร่นาแห่งนิกรประชาราษฎร์ก็เก็บเกี่ยวแล้วเสร็จ สมควรที่จะเสด็จ
โดยภูมิภาคมรรคา ด้วยว่า เมื่อทรงพระกรุณาเสด็จเป็นพระพุทธลีลา พระฉัพพิธ
ประภาก็จะแผ่ซ่านออกจากพระพุทธสรีรกาย พรรณรายรุจิโรภาสทั่วท้องพื้น
นภากาศทั้งปฐพี บรรดาคนธรรพ์พิทยาธรกินนรกินรีที่สัญจรในพนาเวศ ก็จะ
ขับร้องซ้องศัพท์มธุรสสรรเสริญพระเดชาคุณานุภาพเพรียกพร้องไพเราะ สำเนียง
เสนาะสนั่นไปในไพรสณฑ์สถลอรัญมรรคา ทั้งมหาขีณาสวสงฆ์องค์สาวกทั้งปวง
ก็เป็นผู้มัธยัสถ์ปราศจากความปรารถนาขวนขวายในการเล่นเว้นจากความยินดี
ในสัททารมณ์ ในพนัสพนมก็เป็นที่รโหฐานสงบสงัด สมควรที่พระสาวกผู้ทรง
อรหัตคุณ จักควรเสพให้สำราญด้วยวิเวกจิต ดุจสถิตในอารามอรัญวิหาริเสนาสน์
อาจให้สำเร็จบรรพชิตสมณธรรมเป็นอันดี ควรจะเป็นสุขมโนภิรมย์เจริญซึ่งปีติ
แห่งพระโยคาวจรเจ้า
อนึ่งเล่า ขอพระองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าทรงพระกรุณาเสด็จไปเถิดพระเจ้าข้า
จะได้เสด็จจาริกผ่านไปสถิตในคามนิคมชนบทน้อยใหญ่ ซึ่งเป็นประเทศที่อาศัยแห่ง
มหาชนทั้งที่มีวาสนาและไม่มีทั้งหลาย ได้โปรดเวไนยสัตว์ให้สำเร็จกิจมรรคผล
พระอมตมหานิพพาน ชนทั้งหลายจะได้บำเพ็ญทานต่างๆทั้งอันนปันนาหาร
เสนาสนะสุคันธวิเลปนามาลาชาติสรรพอามิสทานสำเร็จการกุศลโกฏฐาสในที่นั้นๆ
อีกประการหนึ่ง สรรพนรชาติที่มีอิสริยยศและบริวารยิ่งกว่าชน ด้วยเดชผลกุศล
วิบากหากบำเพ็ญมาแต่ปุเรชาติ จะได้กอบด้วยประสาทศรัทธาประพฤติบุญกิริยา
วัตถุต่างๆ เพิ่มเติมเป็นปัจจัยในปัจจุบันและอนาคตกาล
อนึ่ง หนทางทุรสถานก็โอภาสด้วยแสงนิสากรเทวราชในราตรี บุปผชาติ
ทั้งหลายได้สัมผัสรัชนีกรรังสีก็เบิกบาน และเสาวคนธเรณูประการกำจรกระจาย
จบจังหวัดวนัสเมทนีดลสถลวิถี และรัสมีแห่งกายศศิธรเทพบุตรบริบูรณ์ดุจใด
ขอสมเด็จพระจอมไตรโลกนาถจงยัง มโนรถประสงค์แห่งข้าพระบาทให้สำเร็จ
บริบูรณ์ดุจนั้น แลอันว่าเทศกาลนี้ ก็มิได้ร้อนนักมิได้เย็นนัก พอที่จักอำนวยสุข
สำราญให้ทั้งกายแลจิต เป็นสมัยที่พระสุคตบพิตรจะเสด็จพระพุทธลีลาจาริกไป
สู่กรุงกบิลพัสดุ์บุรี ในกาลครั้งนี้แล้ว พระเจ้าข้า"
ได้ทรงสดับมธุรสกถา ที่พระกาฬุทายีพรรณนาสรรเสริญคุณแห่งมรรคาลัย
โดยนัยวิจิตรพิสดารฉะนี้ สมเด็จพระตรีโลกนาถบรมศาสดา จึงมีพระพุทธฎีกาตรัส
สั่งให้พระสงฆ์ทั้งปวงตระเตรียมการที่จะเดินทางไปกรุงกบิลพัสดุ์ แล้วก็เสด็จ
พระพุทธดำเนินแวดล้อมด้วย พระมหาขีณาสวเจ้าองค์อรหันต์เป็นบริวารจำนวน
๒๐,๐๐๐ องค์ คือ พระอรหันตมหาขีณาสวเจ้าที่เคยเป็นกุลบุตรชาวอังครัฐและ
มคธรัฐรวมรัฐอื่นๆเสีย ๑๐,๐๐๐ องค์ พระอรหันตมหาขีณาสวเจ้าที่เคยเป็น กุลบุตร
ชาวกบิลพัสดุ์นั้นเองอีก ๑๐,๐๐๐ องค์ ออกจากกรุงราชคฤห์ดำเนินมาตามสบาย
มิได้ด่วนเร่งร้อนแต่ประการใด
เมื่อข่าวการเสด็จพระพุทธดำเนินล่วงรู้มาถึงทางกรุงกบิลพัสดุ์นั้น บรรดา
ศักยวงศานุวงศ์ทั้งหลายจึงสโมสรสันนิบาตปรึกษากันว่า พวกเราจะได้เห็นพระญาติ
ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐในกาลครั้งนี้ ก็สถานที่ใดเล่า จึงจะเป็นที่สมควรเข้าอาศัย
สำนักแห่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมกับเหล่าพระอริยสงฆ์สาวกทั้งหลาย
ในที่สุดก็เห็นพร้อมกันว่าที่อุทยานแห่งพระนิโครธศักยราชกุมารนั้น เป็น
รมณียสถานสมควรที่พระตรีโลกนาถจักสถิตพร้อมกับพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย
จึงให้จัดแจงปลูกสร้างพระคันธกุฎีและที่สังฆเสนาสนวิหารให้พอแก่พระสงฆ์
อรหันต์บริวาร ๒๐,๐๐๐ นั้น พร้อมกับเตรียมการต้อนรับสมเด็จพระสัพพัญญ
ู ผู้ทรงเป็นพระญาติซึ่งกอบด้วยคุณประเสริฐเลิศล้นแห่งตนเป็นอันดี
ครั้นสมเด็จพระชินสีหตรีโลกนาถเสด็จมาถึงกรุงกบิลพัสดุ์ ทรงทอดทัศนา
เห็นเหล่าพระญาติจัดการต้อนรับเป็นอันดีเช่นนั้น พระองค์จึงทรงจินตนาว่า
สมควร
ที่เราตถาคตจักทำความเลื่อมใสให้บังเกิดขึ้นในดวงใจแห่งหมู่พระญาติ แลจักยังหมู่
พระญาติทั้งปวง ให้ได้ถวายนมัสการเพื่อประโยชน์โสตถิผลในกาลบัดนี้
แล้วจึงทรงเข้าจตุตถฌานอธิษฐานอภิญญาเสด็จเหาะขึ้นไปบนอากาศแสดงอิทธิฤทธิ์
เนรมิตรัตนจงกรมสถานในคัคนัมพระประเทศเสด็จจงกรมในที่นั่น ซึ่งเป็นจงกรม
สถานอันมีอยู่เบื้องบนเหนือศิโรตม์แห่งพระประยูรญาติ ทั้งปวง แล้วทรงกระทำ
ปฏิหาริย์วิธีมีประการต่างๆเป็นมหัศจรรย์
สมเด็จพระเจ้าสิริสุทโธทนะพุทธบิดา ซึ่งทรงเป็นประธานอยู่ในสถานที่นั่น
ครั้นได้ทรงทัศนาเห็นปฏิหาริย์มหัศจรรย์ จึงทรงถวายอภิวันทนาการด้วยความ
เลื่อมใสและปรีดา เมื่อพระบรมนราธิบดินทร์ปิ่นกษัตริย์ทรงถวายอภิวาท
บรรดาศักยราชองค์ใดองค์หนึ่งซึ่งจะมีอาการแข็งกระด้างมิได้กระทำวันทนานั้น
ก็หาบ่มิได้ ต่างองค์ต่างก็ถวายอัญชลีพร้อมกันทั้งสิ้น ครั้นทรงแสดงปาฏิหาริย์และ
แสดงพระสัทธรรมเทศนาเสร็จสิ้นแล้ว สมเด็จพระประทีปแก้วมุนินทรศาสดา
จึงเสด็จลงมาจากนภากาศ สถิตนิสัชนาการเหนือบวรปัญญัตตาอาสน์ อันว่า
พระญาติสมาคมในขณะนั้น ต่างก็มีกมลฉันท์ชื่นชมพร้อมเพรียงกันเป็นอันดีในที่สุด
ต่างก็ถวายนมัสการแล้วกลับไปสู่เวียงวังปราสาทสถานแห่งตน แต่จะได้ยินยลชน
ชาวศักยราชผู้ใดผู้หนึ่ง ซึ่งจะกราบทูล อาราธนาว่า เพลาพรุ่งนี้ ขออาราธนาสมเด็จ
พระตรีโลกนาถจอมมุนี จงทรงพระกรุณาโปรดจรลีไปรับภัตตาหารในคฤหฐาน
แห่งข้าพเจ้านั้น มิได้มีเลยแม้แต่สักเสียงเดียว
โดยเหตุนี้ พอสิ้นสมัยราตรีรุ่งเช้า สมเด็จพระสัพพัญญูเจ้าจึงทรงพระอนุสรณ์
พิจารณาถึงบุรพจารีตว่า แต่ปางก่อนครั้งอดีตกาล เบื้องว่าสมเด็จพระบรมโลกุต
มาจารย์เสด็จมาสู่กรุงอันเป็นชาติภูมิ และเสด็จโคจรบิณฑบาตเป็นประเดิมเริ่มแรกนั้น
พระองค์ท่านเสด็จตามลำดับนิวาสฐานแห่งอิสรชน หรือเสด็จจรดลโดยลำดับตรอก
แห่งบ้านเป็นประการใด แล้วก็ทรงเห็นแจ้งในพระญาณอันไม่ติดขัดว่า พระบรม
ศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่อดีตทุกพระองค์ จะได้ทรงโคจรบิณฑบาตไป
ณ คฤหฐานแห่งอิสรชนนั้นหามิได้ โดยที่แท้ แต่ละพระองค์ย่อมเสด็จโคจร
บิณฑบาตโดยสถลวิถี ตามลำดับตรอกเรือนแห่งชาวประชาทั้งปวง อันนี้เป็นวงศ์
ประเวณีแห่งตถาคต สืบไปเบื้องหน้า สาวกใน ศาสนาจะได้ศึกษาบำเพ็ญบิณฑบาต
จาริกวัตร ตามเยี่ยงอย่างปฏิบัติแห่งตถาคต เมื่อทรงกำหนดแน่ในวงศ์ประเวณี
แต่เดิมฉะนี้ สมเด็จพระชินสีหเจ้าจึงพาเหล่าพระขีณาสวสงฆ์จำนวน ๒๐,๐๐๐ องค์
ซึ่งเป็นบริวารเสด็จเข้าสู่กรุงกบิลพัสดุ์แห่งสมเด็จพระเจ้าสิริสุทโธทนะราชบิดา
แล้วโคจรบิณฑบาตโดยสปทานจาริก ตั้งแต่ตรอกเรือนที่ถึงก่อนเป็นต้นไปตาม
อนุกรม บรรดามหาชนชาวเมืองแจ้งข่าวว่า สมเด็จพระลูกเจ้าสิทธัตถราชกุมาร
เสด็จมาเที่ยวภิกขาจารบิณฑบาตถึงที่นั่นต่างก็พากันเปิดประตูหน้าต่างแห่งเรือน
สองชั้นและสามชั้น แต่ล้วนขวนขวายในกิจ ที่จะเล็งแลดูพระสัพพัญญูพร้อม
ทั้งหมู่สงฆ์บริวาร เสด็จเที่ยวภิกขาจารบิณฑบาตอยู่อย่างโกลาหลวุ่นวายหนักหนา
|