อติทุกขกุมารี

 

ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐเป็นพระบรมโลกนายก ในอดีตชาติล่วงมาแต่หนหลัง ครั้งศาสนาพระพรหมเทวสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น พระองค์ผู้ทรงเป็นพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเกิดในตระกูลทุคตะเข็ญใจ มีนามว่า อติทุกขมาณพ ข้าพระบาทที่ชื่อว่าพิมพานี้ ก็ได้เกิดเป็นนางกุมารี ผูกสมัครรักใคร่เป็นสามีภรรยากัน อาศัยอยู่ในชนบทแห่งหนึ่งตามประสายาก

กาลวันหนึ่ง อติทุกขมาณพเข้าไปสู่ป่า ปรารถนาเพื่อจะตัดฟืนมาขาย ได้ไปพบพระอัครสาวกแห่งพระพรหมเทวสัมมาสัมพุทธเจ้ากำลังนั่งเข้านิโรธสมาบัติอยู่ ณ ภายใต้ต้นไม้แห่งหนึ่ง จึงบังเกิดโสมนัสยินดียิ่งหนักหนา รีบกลับบ้านร้องเรียกข้าพระบาทซึ่งเป็นภรรยามา ปรึกษาพร้อมใจกันแล้ว ก็นำพิมพาข้าพระบาทไปขายฝากไว้ ได้ทรัพย์มาแล้วจึงซื้อไม้และเสาทั้งอุปกรณ์อื่นๆไปปลูกสร้างเป็นกุฎีถวายแก่พระอัครสาวกอรหันต์ผู้ทรงคุณวิเศษนั้น นิมนต์ให้ขึ้นครองกุฎีที่สร้างใหม่ ด้วยน้ำใจเลื่อมใสศรัทธา เดชะผลานิสงส์แห่งการถวายกุฎีทานแด่พระอัครสาวกทรงคุณวิเศษของสมเด็จพระพุทธเจ้าในกาลครั้งนั้นอันเป็นทิฏฐธรรมเวทนียกรรมฝ่ายกุศลแรงกล้า จึงบันดาลให้อติทุกขมาณพประสบโชคร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีขึ้น ต่อกาลไม่นานช้า ฝ่ายข้าพระบาทพิมพาซึ่งเป็นภรรยา ก็ดีอกดีใจตั้งตนเป็นใหญ่ในสมบัติเศรษฐีนั้น คราใดเกิดโมหันธ์ไม่พอใจท่านเศรษฐีใหม่ขึ้นมาก็กล่าวคำหยาบช้าว่า ปราสาทเศรษฐีก็ดี ทรัพย์สมบัติอื่นใดก็ดี จะบังเกิดมีขึ้นได้ก็เพราะบุญของข้า เหตุว่านำข้าไปขายจึงได้ทรัพย์มาทำกุฎีถวายแก่พระอัครสาวกจนได้เป็นเศรษฐี

ข้าแต่พระองค์ผู้เคยทรงเป็นสวามี โทษผิดแห่งพิมพาข้าพระบาทนี้ หากจักพึงมีในชาตินั้น โดยการกระทำตัวเป็นใหญ่ ทำมายากล่าวถ้อยคำหยาบช้าอันมิควรแล้วไซร้ขอองค์สมเด็จพระจอมไตรโลกนาถ จงทรงพระกรุณาอดโทษทั้งปวงให้แก่ข้าพระบาทชื่อว่า พิมพา ซึ่งจะดับขันธ์เข้าสู่นิพพานในกาลวันนี้เสียเถิด พระเจ้าข้า