อวสานบท

 

สมเด็จพระชินสีหสัพพัญญูเจ้า ซึ่งทรงเป็นพระบรมศาสดาของพวกเราชาวพุทธบริษัททั้งหลาย ได้ทรงมีพระมหากรุณาตรัสพระพุทธฎีกาไว้ว่า

กิจฺโฉ มนุสฺสปฺปฏิลาโภ

การที่จะได้เกิดเป็นมนุษย์ เป็นสิ่งที่ได้โดยยาก

บาทพระคาถานี้ พระอรรถกถาจารย์ผู้มีญาณวิเศษ และมีปัญญาหยั่งทราบความหมายในพระพุทธฎีกาอย่างแจ้งชัดได้กรุณาให้อรรถาธิบายความไว้ว่า การที่จะได้เกิดมาเป็นมนุษย์ สมเด็จพระพุทธองค์ตรัสว่า เป็นสิ่งที่ได้โดยยาก ก็โดยเหตุว่าการที่จะมีโอกาสมาเกิดเป็นมนุษย์ได้นั้น จักต้องได้ด้วยความบากบั่นพยายามก่อสร้างกองการกุศลอันยิ่งใหญ่เสียก่อน จึงจะมีโอกาสมาเกิดเป็นมนุษย์ได้

จริงอย่างนั้น บรรดามนุษย์หรือผู้คนในโลกนี้ ก่อนแต่กาลที่จะเกิดมา คือ ในขณะที่จะถือเอาซึ่งปฏิสนธิ เพื่อเกิดมาเป็นคนในมนุษยโลกนี้นั้น ต้องอาศัยกรรมฝ่ายดีซึ่งเรียกว่ากุศลกรรมเป็นเหตุปัจจัย หรือเป็นตัวการบันดาลอันสำคัญยิ่ง ทั้งกุศลกรรมที่เป็นเหตุ ปัจจัยหรือเป็นตัวการบันดาลอันสำคัญยิ่งนี้ จะต้องเป็นกุศลกรรมที่มีพลังกล้าแข็งเพียงพอด้วย จึงจะสามารถชักนำให้มาถือปฏิสนธิเกิดเป็นคนได้ หากเป็นกุศลกรรมที่ไม่มีกำลังหรือมีกำลังอ่อนแอ ไม่สามารถที่จะต่อต้านกับอกุศลกรรมที่เป็นฝ่ายตรงกันข้ามแล้ว กุศลกรรมนั้นถึงแม้จะมีอยู่โดยแท้ แต่ก็ไม่สามารถที่จะชักนำให้มาถือปฏิสนธิเกิดเป็นคนได้ เมื่อกุศลกรรมไม่มีกำลังกล้าแข็งเพียงพอที่จะชักนำให้มาถือปฏิสนธิเกิดเป็นคนได้ สัตว์ทั้งหลายจักไปถือปฏิสนธิเกิดเป็นอะไรอื่น นอกจาก จตุราบาย! คือว่าสัตว์ทั้งหลายย่อมจักถูกอกุศลกรรมที่มีกำลังแรงกล้ากว่า ชักพาให้ไปถือปฏิสนธิในจตุราบาย โดยให้ไปเกิดเป็นสัตว์นรกในนิรยภูมิบ้าง ให้ไปเกิดเป็นเปรตในเปตติวิสยภูมิบ้าง ให้ไปเกิดเป็นอสุรกายในอสุรกายภูมิบ้าง ให้ไปเกิดเป็นสัตวเดียรฉานในติรัจฉานภูมิบ้าง

ในกรณีนี้ ขอให้ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายพึงทราบว่า เหล่าสัตว์ที่ถูกอกุศลกรรมชักพาให้ไปถือปฏิสนธิในจุตราบายคือในอบายภูมิทั้ง ๔ ย่อมมีปริมาณมากกว่าเหล่าสัตว์ที่ถูกกุศลกรรมชักพาให้มาถือปฏิสนธิเกิดเป็นคนในมนุษยโลกนี้อย่างเทียบกันไม่ได้ เขาโคกับขนโคย่อมมี ปริมาณซึ่งจะเอามาเทียบกันไม่ได้ฉันใด เหล่าสัตว์ที่ไปถือปฏิสนธิในจตุราบายกับเหล่าสัตว์ที่ได้มาถือปฏิสนธิเกิดเป็นคน ก็ย่อมมีปริมาณซึ่งจะเอามาเทียบกันไม่ได้ฉันนั้น หมายความว่าอย่างไรกัน ? หมายความว่า ในขณะที่จะถือปฏิสนธิเพื่อเกิดในภพชาติใหม่นั้น สัตว์ทั้งหลายได้พากันไปถือเอาปฏิสนธิในอบายภูมิทั้ง ๔ มีปริมาณมากมายเท่ากับจำนวนขนโค ส่วนเหล่าสัตว์ที่มีโชคดีพากันมาถือเอาปฏิสนธิเกิดเป็นคนในมนุษยโลกนี้ มีปริมาณน้อยนักเพียงแค่เขาโคเท่านั้น โคตัวหนึ่งมี ๒ เขา แต่มีขนเท่าใดเล่า โอ! มีจำนวนมากมายจนไม่มีใครอยากจะนับทีเดียว ขนโคทั้งตัวอันมีจำนวนมากมายนั่นแล เทียบได้กับจำนวนของเหล่าสัตว์ที่พากันไปถือปฏิสนธิในจตุราบาย ฝ่ายเหล่าสัตว์ที่ได้มาถือปฏิสนธิเกิดเป็นคนในมนุษยโลกนี้ย่อมมีแต่เพียงคู่หนึ่ง ซึ่งเท่ากับจำนวนเขาโคเท่านั้น ในปฏิสนธิกาลครั้งหนึ่ง

เมื่อจะกล่าวถึงความยากและความง่ายในปฏิสนธิภาพแล้วไซร้ การที่สัตว์ทั้งหลายจักพากันไปถือปฏิสนธิในจตุราบาย ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปได้โดยง่ายดาย ส่วนว่าการที่สัตว์ทั้งหลายจักได้มาถือปฏิสนธิเกิดเป็นคนในมนุษยโลกนี้ ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปได้โดยยากนัก หากจักเปรียบกับกิริยาของคนที่ว่ายน้ำไปในมหานที การที่จะบ่ายหน้าไปถือปฏิสนธิเกิดเป็นสัตว์ในจตุราบาย ย่อมเปรียบประหนึ่งคนที่ว่ายน้ำไปตามกระแสน้ำไหล ซึ่งเป็นการกระทำที่ง่ายดาย ส่วนการที่จะได้มาถือ ปฏิสนธิเกิดเป็นคนในมนุษยโลก ย่อมเปรียบประหนึ่งคนที่ว่ายทวนกระแสน้ำ ซึ่งเป็นการกระทำที่ยากหนักหนา เมื่อกล่าวโดยอุปมาว่าการที่จะได้เกิดมาเป็นคนเป็นการยากนัก เสมือนหนึ่งการว่ายทวนกระแสน้ำในมหานทีเช่นนี้ ผู้มีปัญญาก็อาจที่จะหลับตาลองวาดให้เห็นเป็นมโนภาพไปว่า เมื่อบุคคลว่ายทวนกระแสน้ำมาด้วยความเหนื่อยยากโดยพลังแห่งกุศลกรรมอันแข็งแกร่ง ออกแรงว่ายเรื่อยมาไม่หยุดยั้ง จนกระทั่งมาถึงจุดหมายปลายทาง คือ ได้เกิดมาเป็นคนหรือ เป็นมนุษย์ในมนุษยโลกสมปรารถนา ก็แลในขณะที่ได้เกิดมาเป็นคนในมนุษยโลกนี้ บัณฑิตผู้มีปรีชากล่าวว่าเสมือนหนึ่งได้มีโอกาสมายืนอยู่ภายใต้ต้นกัลปพฤกษ์ ซึ่งเมื่อนึกอยากจะได้สิ่งใด ก็ย่อมอาจที่จะได้สมตามมโนนึก

อันต้นกัลปพฤกษ์นั้น เป็นต้นไม้วิเศษมหัศจรรย์ สถิตอยู่ที่อุตรกุรุทวีปแห่งมนุษยโลก ปรากฏเป็นมหาพฤกษา แตกเป็นกิ่งก้านสาขากอปรด้วยใบมิดชิดแน่นหนา แต่ละสาขาแต่ละคบนั้นแลดูมีครุวนาดุจปราสาทเรือนยอด เป็นที่รโหฐานงามตระการสุดพรรณนามี ความสูงคณนาได้ ๑๐๐ โยชน์ เป็นพุ่มมหาพฤกษ์กว้างใหญ่บริเวณปริมณฑลโดยรอบวัดได้ ๓๐๐ โยชน์ ประดิษฐานอยู่เด่นโดดแลดูน่ารื่นรมย์แห่งใจ ผู้ใดมีความปรารถนาใคร่จะได้อะไร ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินแก้วแหวนเงินทอง หรือ เครื่องประดับประดาภูษาผ้าผ่อนท่อนสะไบ ทั้งสายสร้อยถนิมพิมพาภรณ์ เมื่อผู้นั้นจรไปถึงใต้ต้นกัลปพฤกษ์ก็อาจจะนึกเอาได้สมใจปรารถนาทุกคนไป

ผู้ที่ได้เกิดมาเป็นคนในมนุษยโลกนี้ ก็ย่อมจะเป็นผู้มีโชคดีเสมือนหนึ่งเข้าไปยืนอยู่ภายใต้ต้นกัลปพฤกษ์นั้นเหมือนกัน ด้วยว่าบรรดาเขาผู้เป็นมนุษย์ทั้งหลายจะนึกเอาอะไรเล่า จะนึกเอาสมบัติที่ดีวิเศษต่างๆคือ
- จักรพรรดิสมบัติ
- ทิพยสมบัติ
- พรหมสมบัติ
- นิพพานสมบัติ

ปรารถนาที่จะได้สมบัติอันประเสริฐเหล่านี้เอามาเป็นของตน ก็รีบก่อสร้างกองการกุศลให้มากๆเข้า ในไม่ช้า ก็อาจที่จะได้เป็นเจ้าของสมบัติเหล่านี้สมความปรารถนาเหตุว่าผู้ที่เกิดมาในมนุษยโลกนี้ ย่อมมีโอกาสที่จะก่อสร้างกองการกุศลได้มากกว่าเหล่าสตว์ที่เกิดในภูมิอื่นทั้งปวง บรรดาท่านที่มีความปรารถนาอันลุล่วงได้ครองสมบัติวิเศษทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นสมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิราชก็ดี เทพบุตรเทพนารีในสรวงสวรรค์ชั้นฟ้าก็ดี หรือแม้แต่องค์สมเด็จพระชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ดี ท่านเหล่านี้ล้วนแต่เคยมายืนอยู่ภายใต้ต้นกัลปพฤกษ์ คือ ได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วพยายามก่อสร้างกองการกุศล ซึ่งเป็นการบำเพ็ญบารมีเพื่อให้ได้สมบัติที่ตนปรารถนาทั้งสิ้น ในกรณีนี้ พึงเห็นตัวอย่าง เช่น พระโพธิสัตว์ผู้ปรารถนาพระพุทธภูมิทั้งหลาย เมื่อท่านไปอุบัติเกิดเป็นเทวดาในเทวโลก หรือ ไปอุบัติเกิดเป็นพระพรหมในพรหมโลกในกาลบางคราว ท่านย่อมจะไม่สถิตอยู่ในเทวโลกหรือพรหมโลกจนถึง อายุขัยในภูมิเหล่านั้นเหมือนกับท่านผู้ใดเลย โดยที่แท้ เมื่อท่านไปอุบัติเกิดได้เสวยทิพยสมบัติ หรือพรหมสมบัติพอควรแก่กาลแล้ว ท่านย่อมมีจิตผ่องแผ้วกระทำอธิมุตติกาลกิริยา คือ อธิษฐานให้เคลื่อนแล้วจุติลงมาถือปฏิสนธิเกิดเป็นคนในมนุษยโลกนี้ เพื่ออบรมสั่งสม พระพุทธบารมีให้ภิญโญต่อไป โดยเหตุที่มนุษยโลกเป็นภูมิที่อาจบันดาลให้ได้สมบัติสมมโนนึกเช่นนี้ บัณฑิตผู้มีปัญญาจึงกล่าวยืนยันไว้ว่า การที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์แต่ละครั้งแต่ละหน ย่อมเปรียบประหนึ่งเป็นคนมีโชคดีได้มายืนอยู่ภายใต้ต้นกัลปพฤกษ์

หวนกลับมานึกถึงเราท่านทั้งหลายบ้าง ขณะนี้เราเป็นอะไรและอยู่ที่ไหน ขณะนี้เราเป็นมนุษย์และอยู่ในมนุษยโลก เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ต้องหมายความว่า ตัวเรานี้เป็นผู้มีพลังแห่งกรรมดีหรือกุศลกรรมอันแข็งแกร่งแรงกล้า พยายามแหวกว่ายทวนกระแสธารามาในท่ามกลางมหานทีด้วยความเหนื่อยยาก จนมาสถิตประดิษฐานอยู่ภายใต้ต้นกัลปพฤกษ์ คือ มนุษยโลกนี้ได้ ซึ่งต้องนับว่าเราเป็นผู้มีโชคดียิ่งกว่าสัตว์ทั้งหลายอื่นอีกมากมายนักและที่ควรจักนับว่าเป็นผู้มีโชคดียิ่งขึ้น อีกเป็นทับทวี ก็โดยเหตุที่ว่า การเกิดมาเป็นมนุษย์ของเราในชาตินี้มิใช่ว่าสักแต่ว่าเกิดมาเป็นมนุษย์ชนิดธรรมดา โดยที่แท้ เราเกิดมาในชาตินี้เป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา

การได้มีโอกาสเกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา ปราชญ์ทั้งปวงพากันกล่าวว่าเป็นโอกาสดีวิเศษสุด ทั้งนี้ก็เพราะพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ทรงไว้ซึ่งคุณค่าโอฬารมหัศจรรย์ เป็นศาสนาที่องค์สมเด็จพระสัพพัญญูเจ้าทรงประกาศ อาจจะกล่าวได้ว่าบรรดาศาสนาต่างๆ ที่ปรากฏมีในโลกทุกยุคทุกสมัย ศาสนาอื่นใดที่จะมีคำสอนอันวิเศษบวรถูกต้องตามสภาพธรรมความเป็นจริงเหมือนพระพุทธศาสนานั้นเป็นอันไม่มีอย่างแน่นอน ความวิเศษบวรแห่งพระพุทธศาสนาย่อมปรากฏมีอยู่มากมายสุดพรรณนา แต่ที่นับว่าวิเศษสุดก็คือ ในพระพุทธศาสนาซึ่งมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นพระบรมศาสดานี้ มีวิธีการสอนเพื่อให้บรรลุธรรมวิเศษถึงขั้นวิมุตติธรรมความหลุดพ้นจากกองทุกข์ เมื่อบุคคลใดซึ่งมีโอกาสดีได้เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา มีปัญญาผ่องใสใคร่จะนำตนให้พ้นจากกองทุกข์ในวัฏสงสาร และต้องการจะบรรลุถึงพระนิพพานอันเป็นวิมุตติธรรม หากเขาผู้นั้นอุตสาหะปฏิบัติตามหลักการที่ปรากฏมีในคำสอนซึ่งเป็นนิยยานิกธรรมทางพระพุทธศาสนาแล้วไซร้ ก็อาจที่จะได้บรรลุวิมุตติธรรมเป็นขั้นๆไป ตั้งแต่วิมุตติธรรมขั้นต้นจนถึงขั้นสูงสุด ตามลำดับแห่งวิมุตติธรรมทั้งหลาย ดังต่อไปนี้

วิขัมภนวิมุตติ

เมื่อผู้มีปัญญาพิจารณาเห็นภัยในวัฏสงสาร อุตส่าห์บำเพ็ญสมถกรรมฐานตามหลักการที่ปรากฏมีในพระพุทธศาสนา ก็ย่อมจะมีโอกาสได้บรรลุ วิกขัมภนวิมุตติ ความหลุดพ้นเพราะการข่มไว้ อันเป็นวิมุตติ ธรรมลำดับที่ ๑ ซี่งได้แก่ อัฏฐฌานสมาบัติเหล่านี้ คือ
๑ ปฐมฌานสมาบัติ
๒.ทุติยฌานสมาบัติ
๓.ตติยฌานสมาบัติ
๔.จตุตถฌานสมาบัติ
๕.อากาสานัญจายตนฌานสมาบัติ
๖.วิญญานัญจายตนฌานสมาบัติ
๗.อากิญจัญญายตนฌานสมาบัติ
๘.เนวสัญญานาสัญญายตนฌานสมาบัติ

ตทังควิมุตติ

เมื่อผู้มีปัญญาพิจารณาเห็นภัยในวัฏสงสาร อุตส่าห์บำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐานตามหลักการที่ปรากฏมีในพระพุทธศาสนา ก็ย่อมจะมีโอกาสได้บรรลุ ตทังควิมุตติ ความหลุดพ้นด้วยองค์วิปัสสนาญาณนั้นๆอันเป็นวิมุตติธรรมลำดับที่ ๒ ซึ่งได้แก่องค์วิปัสสนาญาณ เหล่านี้คือ
๑. นามรูปปริจเฉทญาณ
๒.ปัจจยปริคคหญาณ
๓.สัมมสนญาณ
๔.อุทยัพพยญาณ
๕.ภังคญาณ
๖.ภยญาณ
๗.อาทีนวญาณ
๘.นิพพิทาญาณ
๙.มุญจิตุกัมยตาญาณ
๑๐.ปฏิสังขาญาณ
๑๑.สังขารุเบกขาญาณ
๑๒.อนุโลมญาณ
๑๓.โคตรภูญาณ

สมุจเฉทวิมุตติ

โดยอำนาจแห่งการบำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐาน ซึ่งเป็นไปตามครรลองอันถูกต้องตามกระแสพระพุทธฎีกา ท่านผู้บำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐานที่ได้บรรลุตทังควิมุตติแล้วนั้น ก็ย่อมมีโอกาสที่จะพลันได้บรรลุวิมุตติธรรมขั้นต่อไปคือ สมุจเฉทวิมุตติ ความหลุดพ้นโดยการละได้เด็ดขาด อันเป็นวิมุตติธรรมลำดับที่ ๓ ซึ่งได้แก่พระอริยมรรคญาณ อันวิเศษสุดในพระพุทธศาสนาตามลำดับชั้น คือ
๑. พระโสดาปัตติมรรคญาณ
๒. พระสกิทาคามิมรรคญาณ
๓. พระอนาคามิมรรคญาณ
๔. พระอรหัตมรรคญาณ

ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ

โดยอำนาจแห่งการได้บรรลุพระอริยมรรคญาณ อันเป็นสมุจเฉทวิมุตตินั้น ท่านผู้บำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐานในพระพุทธศาสนาซึ่งอุตสาหะบำเพ็ญให้เป็นไปตามพระพุทธานุสาสนี ก็ย่อมมีโอกาสที่จะได้บรรลุวิมุตติธรรมขั้นต่อไป คือ ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ ความหลุดพ้นโดยสงบเย็นเป็นอย่างยิ่ง อันเป็นวิมุตติธรรมลำดับที่ ๔ ซึ่งได้แก่ พระอริยผลญาณอันประเสริฐสุดในพระพุทธศาสนาตามลำดับชั้น คือ
๑. พระโสดาปัตติผลญาณ
๒. พระสกิทาคามิผลญาณ
๓. พระอนาคามิผลญาณ
๔. พระอรหัตผลญาณ

นิสสรณวิมุตติ

โดยอำนาจแห่งการได้บรรลุพระอรหัตผลญาณ อันเป็นปฏิปัสสัทธิวิมุตติขั้นสูงสุดนั้น ท่านผู้บำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐาน ซึ่งบัดนี้ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์มหาขีณาสวเจ้าแล้ว ย่อมมีโอกาสผ่องแผ้วได้บรรลุวิมุตติธรรมขั้นต่อไป คือ นิสสรณวิมุตติ ความหลุดพ้นโดยการสลัดออกไป อันเป็นวิมุตติธรรมลำดับที่ ๕ ซึ่งได้แก่พระนิพพานอันเป็นยอดธรรมในพระพุทธศาสนา คือ
๑. สอุปาทิเสสนิพพาน หรือ กิเลสนิพพาน
๒. อนุปาทิเสสนิพพาน หรือ ขันธนิพพาน

ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย ความวิเศษสุดแห่งพระพุทธศาสนาอันเป็นที่สุดเคารพบูชาของพวกเราชาวพุทธบริษัท ย่อมประมวลลงที่วิมุตติธรรมความหลุดพ้นตามที่พรรณนามานี่เท่านั้น บัณฑิตทางพระพุทธศาสนานับตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นต้นมา จนถึงพระอรหันต์สาวกวิเศษมหาขีณาสวเจ้าทั้งปวง ซึ่งเป็นผู้ล่วงพ้นจากกิเลสสังโยชน์และกองทุกข์ เพราะวิมุตติธรรมอันบวร ต่างพากันสรรเสริญและสั่งสอนว่า วิมุตติธรรมนี้เป็นสาระแห่งพระพุทธศาสนา เป็นแก่นแท้แห่งพระพุทธศาสนา เป็นยอดธรรมหรือเป็นธรรมอย่างเอกแห่งพระพุทธศาสนา ผู้ที่มีศรัทธาปฏิบัติตามคำสอนทางพระพุทธศาสนาจนได้บรรลุถึงวิมุตติธรรม ผู้นั้นย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้เข้าถึงธรรมวิเศษซึ่งเป็นสาระหรือเป็นแก่นแท้แห่งธรรมทางพระพุทธศาสนา ดังนั้น ก่อนที่จะจากกันไป ในอวสานกาลเป็นที่จบลงแห่งวิมุตติรัตนมาลีนี้ จึงใคร่ที่จักกล่าวเป็นคำสุดท้ายว่า

ในฐานะที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ และได้มีโอกาสพบพระพุทธศาสนาในชาตินี้ สิ่งสำคัญอันประเสริฐสุดที่เราจะได้รับจากพระพุทธศาสนาก็คือ วิมุตติธรรม ความหลุดพ้นจากกองทุกข์ซึ่งเกิดจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร แต่การที่จะได้บรรลุถึงวิมุตติธรรมนั้นจะต้องมีการบำเพ็ญกุศลกรรมอย่างสูงถึงขั้นภาวนากรรม กล่าวคือ เมื่อบำเพ็ญสมถกรรมฐานอันเป็นการภาวนากรรมขั้นต้น ก็อาจที่จะได้รับผลวิเศษขั้นแรก คือ วิกขัมภนวิมุตติและเมื่อรีบรุดบำเพ็ญวิปัสสนา กรรมฐานอันเป็นภาวนากรรมยิ่งใหญ่ ก็อาจที่จะได้รับผลวิเศษสุด คือ ได้บรรลุตทังควิมุตติ สมุจเฉทวิมุตติ และปฏิปัสสัทธิวิมุตติตามลำดับไป ครั้นได้บรรลุถึงปฏิปัสสัทธิวิมุตติธรรมขั้นสูงสุดแล้ว ย่อมจักมีจิตผ่องแผ้วได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์มหาขีณาสวเจ้า สังโยชน์กิเลสธุลีแม้แต่เท่ายองใยก็ไม่มีเหลือติดอยู่ในขันธสันดาน เป็นผู้หมดกิจอยู่จบพรหมจรรย์ สิ้นสุดการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร ได้รับประโยชน์จากการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนาอย่างชื่นชมยินดี ทั้งเป็นผู้ที่ควรแก่การเคารพบูชาแห่งปวงเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ดำรงชีพอยู่จนอายุขัยแล้ว ก็จะเคลื่อนแคล้วดับขันธ์เข้าไปเสวยสันติสุขอยู่ ณ พระอมตมหาปรินิพพานอันเป็นนิสสรณวิมุตติธรรมวิเศษสุดท้าย ซึ่งเป็นวิเศษสถานศุภมงคล นับว่าเป็นผู้ล่วงพ้นจากมุขมณฑลแห่ง พญามัตยุราชไปชั่วนิรันดร์ ด้วยประการฉะนี้