สุวรรณทีปกุมาร
ดูกร พ่อเอ๋ย พ่อราหุล! พ่อนี้จะได้มีน้ำจิตคิดสนองคุณแก่มารดา แต่เพียงในกาลบัดนี้ก็หามิได้ ตั้งแต่เป็นแม่ลูกกันมาในวัฏสงสาร มารดานี้ได้เห็นน้ำใจพ่อที่มีความห่วงใยรักใคร่ในมารดามามากกว่ามากนัก จักยกมากล่าวแต่เพียงคราวครั้งเดียว เพราะเวลาของมารดาที่เหลืออยู่นี้มีน้อยหนักหนา ก็ในกาลปางก่อนอันเป็นอดีตชาติหนหลัง ครั้งศาสนาสมเด็จพระพุทธองค์ทรงพระนามว่า พระพรหมชาลสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น มารดานี้บังเกิดเป็นราชกุมารี ภายหลังได้เป็นเอกอัครมเหสีของพระเจ้าพรหมทัตต์ราชาธิบดี พระองค์ทรงเป็นใหญ่ครองราชสมบัติในพระนครพาราณสี ในขณะที่มารดาทรงครรภ์ วันหนึ่งเกิดวิบัติอาเพศเหตุว่าห่าฝนใหญ่ได้ตกถึง ๗ ทิวา ๗ ราตรี น้ำท่วมเมืองพาราณสีสุดที่มนุษย์จักอาศัยอยู่ได้ ก็พากันพินาศจมน้ำตายเป็นอันมากกว่ามาก ครั้งวิกฤตการณ์นั้น มารดานี้ได้เกาะขอนไม้ลอยไปตามกระแสน้ำ พอขึ้นบกได้ที่เกาะใหญ่ซึ่งมีอยู่ที่กลางมหาสมุทร ก็ประสูติพระโอรสงามโสภา มารดาจึงตั้งนามตามเหตุโดยให้ชื่อว่าเจ้าสุวรรณทีปกุมาร ค่อยอภิบาลรักษาเลี้ยงบำรุงเจ้าไปตามประสายาก อยู่กันสองคนแม่ลูกที่เกาะกลางมหาสมุทรนั้น จนเจ้าสุวรรณทีปกุมารมีชนมพรรษาได้ ๘ ขวบ กาลวันหนึ่ง มารดานี้เข้าไปสู่ป่าเพื่อแสวงหาผลาผลมาเลี้ยงดูกัน ได้ไปประจันหน้ากับยักษาตนหนึ่งซึ่งมีนามว่าอาฬวกาสูรผู้ดุร้าย มันก็จับเอามารดาไปยังที่อยู่อาศัย เพื่อประสงค์จะกินเป็นภักษาหาร เมื่อได้เพลาสายัณห์ตะวันรอน เจ้าสุวรรณทีปกุมารบวรดนัยไม่เห็นพระมารดากลับมาเหมือนทุกวัน ก็ถลันแล่นเข้าไปสู่ป่า เฝ้าตะโกนกู่ก้องร้องเรียกหาไปตามวิสัยทารกที่เกิดมาเห็นแต่เพียงมารดา จนล่วงเข้ายามราตรีดึกดื่นค่อนคืนอย่างไร เจ้าก็ไม่ละความพยายาม เฝ้าติดตามกู่ก้องร้องเรียกเพรียกหามารดาไป จนพระอาทิตย์อุทัยไขแสงทองส่องอร่ามฟ้า จึงได้มาถึงแดนยักษาที่จับมารดาไว้ มารดาจำเสียงได้ก็ให้ตระหนกตกใจหนักหนา จึงร้องห้ามด้วยความรักแลห่วงใยสุดใจว่า "ดูกรพ่อสุวรรณทีปเอ๋ย! พ่ออย่าล่วงเลยเข้ามาที่นี่ ด้วยว่าที่นี่เป็นแดนยักษามันจับเอามารดาไว้แล้ว ขอลูกแก้วจงรีบหนีเอาตัวรอดเถิด กลับไป! ขอลูกจงรีบกลับไปเถิดอย่าชักช้า จงฟังมารดาว่า แล้วรีบกลับไปเดี๋ยวนี้" เจ้าสุวรรณทีปกุมารอายุ ๘ พรรษา เมื่อได้ฟังมารดาร้องห้ามดั่งนั้น จะได้มีความพรั่นพรึงแก่ความตายก็หามิได้ กลับวิ่งเข้าไปจนถึงสำนักของเจ้าอาฬวกายักษ์ผู้ดุร้ายแล้วกล่าวคำวิงวอนขึ้นว่า "ดูกรยักษาเอ๋ย! มารดาแห่งเราที่ท่านจับเอามาขังไว้นี้ ท่านมีอายุมากทั้งเนื้อหนังมังสาก็เหี่ยวแห้งไม่มีมันแล้ว การที่ว่าท่านจะบริโภคมารดาของเรานี้ไซร้ ย่อมหาความเอร็ดอร่อยอันใดมิได้ ตัวเรานี้สิ ยังหนุ่มแน่นจะขอตายแทนมารดา ทั้งเนื้อหนังมังสาของเราก็เต่งตึงแน่นแฟ้นและมากไปด้วยมัน ควรแก่การที่จะบริโภคให้เป็นที่สำราญยิ่งนัก หากท่านจักรักษาสัตย์แล้วไซร้ เราจักให้บริโภคตัวเราแทน แล้วจงปล่อยมารดาของเราให้มีชีวิตยืนยาวต่อไปเถิด" อาฬวกาสูรผู้มีเนื้อเป็นภักษาหาร ได้เสาวนาการดั่งนั้น ก็เห็นชอบด้วยเหตุผลที่เจ้าสุวรรณทีปกุมารว่า จึงปล่อยนางกษัตริย์ที่เป็นมารดานั้น และจับเอาตัวสุวรรณทีปกุมารแสดงอาการจะหักคอบริโภคเป็นภักษาหาร กุมารผู้มีกตัญญูจึงร้องประกาศแก่หมู่เทพยดาและอธิษฐานว่า " ครั้งนี้ ข้าพเจ้าขอสละชีพแทนพระมารดา หากว่าข้าพเจ้าเกิดในภายหน้าขอให้พระมารดาและข้าทั้งสองเราได้เป็นแม่ลูกพบกันทุกๆชาติ ตราบเท่าจนถึงชาติที่ได้สำเร็จพระนิพพาน " อธิษฐานได้เพียงเท่านี้ จอมอสุรีอาฬวกายักษ์ก็หักคอสุวรรณทีปกุมาร บริโภคเป็นภักษาหารเสียต่อหน้าพระชนนี "พ่อเอ๋ย พ่อราหุลของชนนี! มารดาแห่งพ่อชื่อว่าพิมพานี้จะได้เห็นน้ำใจดีของพ่อที่มีกตัญญูรู้คุณแต่เพียงในชาตินี้ ก็หามิได้ แม้ในชาติก่อน ถึงจะเป็นเพียงกุมารไร้เดียงสา พ่อก็ยังมีน้ำใจกตัญญูสนองคุณมารดา จะได้เป็นผู้ชั่วช้าแต่อย่างใด ก็หามิได้เลย พ่อเอ๋ย พ่อราหุลของชนนี ! ขอพ่อจงค่อยอยู่ดีเป็นผาสุกเถิด มารดานี้จะไม่ได้เกิดเป็นแม่ลูกกับพ่ออีกแล้ว จะขอลาลูกแก้วเข้าสู่นิพพานในวันนี้ขอพ่อจงมองหน้าชนนีไว้ให้เต็มนัยตา" ขณะที่สมเด็จพระนางพิมพาภิกษุณี และพระอรหันต์ราหุลบวรดนัย ต่างก็ร่ำลาขอขมาและอภัยโทษกันอยู่นี้ ธรรมสังเวชได้บังเกิดมีในมหาสมาคมสุดประมาณ กาลครั้งนั้นสมเด็จพระสรรเพชญ์บรมศาสดาจารย์ ซึ่งทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแห่งเราชาวพุทธบริษัท ทั้งหลาย พระองค์ทรงได้โอกาสที่จักให้พระพิมพาภิกษุณีอดโทษบ้าง จึงทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสขึ้นในท่ามกลางพุทธบริษัทว่า "ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย! ตั้งแต่เราตถาคตสร้างพระพุทธบารมีเพื่อพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ เกิดร่วมกันมากับเจ้าพิมพาภิกษุณีในวัฏสงสารมานานเป็นอเนกอนันต์นับชาติมิได้นั้น ก็ย่อมมีการก้ำเกินประมาทพลาดพลั้งแก่กันแลกันบ้างเป็นธรรมดา ด้วยว่า เป็นผู้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาช้านาน กาลบัดนี้ถึงคราวที่เจ้าจักดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพานเสียแล้ว และคุณของเจ้าก็มีอยู่แก่เราตถาคตเป็นอันมาก ดังนั้น เราตถาคตจะยังเจ้าพิมพาให้อดโทษที่เคยมีมาในกาลบัดนี้เสียก่อนจึงจะควร" สมเด็จพระสัพพัญญูเจ้า ครั้นตรัสแก่เหล่าพุทธบริษัททั้งหลายในมหาสันนิบาตฉะนี้แล้ว ก็ทรงผินพระพักตร์มาตรัสกับสมเด็จพระนางพิมพาภิกษุณี โดยพระพุทธฎีกาขมาปนกถาให้พระนางทรงอดโทษแต่อดีตโดยประการทั้งปวงแล้ว และเพื่อที่จะทรงแสดงคุณแห่ง พระนางให้ปรากฏ สมเด็จพระตถาคตเจ้าผู้มีพระญาณอันไม่ข้องขัด จึงนำเอาเรื่องในอดีตชาติมาตรัสขึ้นในท่ามกลางพุทธบริษัททั้งหลาย ดังต่อไปนี้
|