นางพญาสกุณี

 

ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงเป็นที่พึ่งแห่งสัตวโลกทั้งหลาย ในอดีตชาติ ล่วงแล้วแต่หนหลัง ครั้งศาสนาพระเรวัตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น พระองค์ทรงเป็นพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพญาสกุณามีอำนาจยิ่งใหญ่กว่า บรรดานกทั้งหลาย ฝ่ายว่าพิมพาข้าพระบาทนี้ได้เกิดเป็นนางพญาสกุณีอาศัยอยู่ที่หิมวันตประเทศ

กาลวันหนึ่ง เกิดอาเพศบันดาลให้นางพญาสกุณีมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะได้ดื่มน้ำในสระอโนดาตที่นำมาโดยจะงอยปากของพญานกผู้ภัสดา หาไม่แล้วตนจะต้องวายชีวาลงเป็นแน่แท้ จึงบอกความข้อนั้นแก่พญานกให้รู้ความเป็นไป พญานกผู้สามีก็มิได้ รอช้า รีบผกโผบินจากรวงรังที่อาศัยทะยานขึ้นไปสู่ท้องฟ้า โดยบ่ายโฉมหน้าไปสู่อโนดาตสระศรี ประสงค์ที่จะนำเอาน้ำในสระอโนดาตมาให้นางสุดที่รัก ครั้นถึงจึงเอาจะงอยปากดูดเอาน้ำอมไว้ ได้น้ำสมความ ปรารถนาก็บินกลับมา แต่เพราะเหตุที่เป็นระยะไกลหนักหนาบินมายังไม่ถึงรวงรังที่อาศัย น้ำในปากที่อมมานั้น ก็พลันแห้งหายเข้าไปในคอของพญานกเสียสิ้น พญานกจึงบินกลับไปสู่อโนดาตสระศรีนั้นอีก อมน้ำจนเห็นว่ามากพอแก่ความต้องการ ก็บินกลับมา แต่เหตุการณ์ก็เป็นดั่งเช่นเดิมคือบินมายังไม่ถึงรังที่อาศัย น้ำในปากที่อมมาก็ปราศนาการหายแห้งเข้าไปในคอของพญานกนั้นอีกเล่า พญานกเฝ้าบินกลับไปกลับมาอยู่อย่างนี้ถึง ๗ ครั้ง แต่จะได้น้ำมาจนถึงภรรยาก็หามิได้ พยายามจนอ่อนอกอ่อนใจแล้วก็กลับมาแจ้งความจำเป็นแก่นางพญาสกุณีที่รวงรัง พอนางได้ฟังแทนที่จักเห็นใจในความจำเป็นอันเหลือวิสัยกลับบังเกิดโทสะร้ายว่าพญานกสามีไปหลงใหลในนางสกุณีอื่นแล้วจะแกล้งให้ตนถึงซึ่งความตาย เจ็บใจขึ้นมาก็เข้าทำร้ายพญานก จิกด้วยปากบ้าง ตีด้วยเท้าและปีกบ้าง เป็นพัลวัน พญานกผู้สามีนั้นแม้จะถูกนางพญาสกุณีที่เป็นภรรยากระทำเอาถึงเพียงนี้ แต่จะได้มีความโกรธแก่นางมาตรว่าสักนิดหนึ่งก็หามิได้ ทั้งนี้ก็อาศัยด้วยเหตุที่มีความเสน่หารักใคร่ในภรรยาของตนยิ่งหนักหนา

ข้าแต่พระองค์ผู้เคยทรงเป็นสวามี! โทษผิดแห่งพิมพาข้าพระบาทนี้ หากจะพึงมีในชาตินั้น โดยที่กอปรด้วยโมหันธ์ไม่ฟังเหตุผลประการใด แล้วเข้าทำร้ายพระองค์ด้วยเท้าและด้วยปีก ทั้งจิกด้วยปากให้ได้ความเจ็บปวดทุกข์ทรมานแล้วไซร้ ขอองค์สมเด็จพระจอมไตรโลกนาถ จงทรงพระกรุณาอดโทษให้แก่ข้าพระบาทชื่อว่า พิมพา ซึ่งจักขอถวายบังคมลาเข้าสู่นิพพานในวันนี้เสียเถิด พระเจ้าข้า