มังคลีกุมารี

 

ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงเป็นที่พึ่งแห่งสัตวโลกทั้งหลาย ในอดีตชาติล่วงแล้วแต่หนหลัง ครั้งศาสนาพระพรหมชาลสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ผู้ทรงเป็นพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นกุมาร ภายหลังได้บรรพชาเป็น สามเณรในพระพุทธศาสนา นามว่าเจ้านิโครธสามเณร ฝ่ายว่าพิมพาข้าพระบาทนี้ เกิดเป็นกุมารีบุตรีชาวบ้านตระกูลมั่งคั่งแห่งหนึ่งซึ่งเป็นตระกูลใหญ่ สืบเชื้อสายมาหลายชั่วอายุคน โดยมีนามปรากฏว่ามังคลีกุมารี

กาลวันหนึ่ง เป็นยามราตรีเงียบสงัดกำดัดดึก มังคลีกุมารีสาวโสภาซึ่งมีอายุได้ ๑๖ พรรษา เจ้าเข้าสู่นิทราหลับไหล แล้วให้บังเกิดนิมิตฝันอันเป็นมงคลว่าตนได้บุตรชายสุดที่รัก ครั้นตื่นขึ้นมาเพลารุ่งเช้า จึงจัดแจงข้าวตอกดอกไม้เข้าไปสู่สำนักแห่งท่านผู้เป็นปราชญ์ ราชบัณฑิต ซึ่งเป็นเนมิตกาจารย์ทำนายฝัน แล้วก็เล่า นิมิตนั้นให้ท่านฟัง ส่วนว่าท่านที่เป็นปราชญ์ราชบัณฑิตผู้รู้นิมิตชั่วดี เมื่อได้ฟังเจ้ามังคลีกุมารีเล่าซึ่งสุบินฉะนี้ จึงทำนายว่า

"ดูกรเจ้ามังคลีกุมารี ! อันนิมิตฝันของเจ้านี้ดีนักหนา จะเป็นอันตรายอย่างใดอย่างหนึ่งก็หามิได้ ตั้งแต่วันนี้ไป เจ้าจะได้ซึ่งบุตรสุดที่รักสมตามความฝันนั้นแล"

กาลครั้งนั้น เจ้ามังคลีกุมารีเมื่อได้ฟังคำทำนายแล้วก็ให้นึกขำขันอยู่แต่ในใจว่า "เออ! อาตมานี้ก็ยังเป็นสาวโสภาหาสามีบ่มิได้ แล้วจะได้บุตรสุดที่รักตามทำนายได้อย่างไร" คิดไม่เชื่อในคำทำนายของราชบัณฑิตนั้นแล้ว ก็กราบไหว้ท่านลากลับเดินทางไปบ้าน

วันนั้น เจ้านิโครธสามเณรในศาสนาแห่งสมเด็จพระพรหมชาลสัมมาสัมพุทธเจ้า เข้าไปบิณฑบาตในบ้านแล้วเดินทางจะกลับไปยังวิหาร สวนทางกับมังคลีสาวน้อยที่ชายป่าแห่งหนึ่ง เมื่อประสบพบกันเข้าแล้ว ทั้งสองต่างก็มีจิตคิดรักใคร่ในกันและกันหนักหนาด้วยอำนาจแห่งบุพเพสันนิวาส แต่มิอาจจะประพฤติการอันใดให้เป็นที่เสียหาย เพราะเจ้าสามเณรนั้นเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งเพศพรหมจรรย์และมั่นในศีลสิกขาบท ได้แต่สนทนาปราศรัยกันไปมา แล้วมังคลีกุมารีสาวน้อยเจ้าจึงแกล้งว่า

"อันตัวเรานี้ เป็นผู้ใหญ่แล้ว และมีจิตรักใคร่ในตัวพ่อสามเณร ประหนึ่งว่ามารดารักใคร่ในบุตรดอก มิใช่ว่าเรานี้จะรักใคร่สามเณรเหมือนหญิงสาวรักชายหนุ่มก็หามิได้ ว่าอย่างไรเล่า เจ้าสามเณรจะยอมให้เราเป็นมารดาหรือไม่ ”

"จะเป็นไรไปเล่า เรานี้ก็มีความรักใคร่ในตัวท่าน ประหนึ่งว่าเป็นมารดาซึ่งให้อาหารบิณฑบาตเลี้ยงชีพพอกันตายไปทุกวันนี้ ขอให้ท่านเป็นมารดาของเราเถิด เรานี้จะได้ตั้งใจรักมารดาของเราแต่เพียงผู้เดียวในชาตินี้"

เจ้านิโครธสามเณรแกล้งตอบไปตามกล แล้วคนทั้งสองก็จำใจต้องจากกัน ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ทั้งเจ้ามังคลีสาวน้อยและเจ้านิโครธสามเณรในศาสนาแห่งพระพุทธองค์เจ้า ต่างก็เฝ้ารำพึงคะนึงหาถึงกันและกันด้วยความทุกข์ทรมานใจ

ในไม่ช้า สาวโสภามังคลีกุมารีก็มีอาการเจ็บป่วยด้วยความทรมานใจนั้น อาการแห่งโรคกำเริบขึ้นเรื่อยๆ แล้วมังคลีสาวที่น่าสงสารก็สลบหลับนิ่ง นอนอยู่บนเตียงที่ตายเห็นนิมิตร้ายเป็นไฟนรกรุ่งโรจน์ขึ้นมา แล้วลามเลียมาเรื่อยๆเกือบจะเผากายแห่งนางด้วยอำนาจแห่งอกุศลกรรมที่ทำไว้แต่ชาติก่อนๆตามมาทัน เพื่อจะบันดาลให้นางไปบังเกิดในนรกอันเป็นอบายภูมิ แต่ทว่าด้วยเสน่หานุภาพอันฝังลึกในดวงจิตที่เจ้านึกคิดถึงนิโครธสามเณรอยู่ตลอดเวลา จึงในขณะที่เห็นเปลวไฟนรกนิมิตร้าย ซึ่งมีสีเหลืองคล้ายสีชายจีวรทรงของ สามเณรที่รักปานดวงใจ เจ้าจึงยึดเอาชายจีวรนั้นเป็นนิมิตครั้งสุดท้าย แล้วก็หลับตาตายอย่างสุขใจ จุติไปอุบัติเกิดเป็นเทพนารีงามโสภา เสวยทิพยสมบัติอยู่ ณ สรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

ข้าแต่พระองค์ผู้เคยทรงเป็นสวามี! โทษผิดแห่งพิมพาข้าพระบาทนี้ หากจักพึงมีในชาตินั้น โดยแกล้งกล่าวเป็นกลอุบายตามวิสัยหญิงสาวว่ารักใคร่พระองค์ประหนึ่งมารดารักใคร่บุตร ซึ่งเป็นการล่วงเกิน พระองค์อยู่หนักหนาแล้วไซร้ ขอองค์สมเด็จพระจอมไตรโลกนาถ จงทรงพระกรุณาอดโทษให้แก่ข้าพระบาทชื่อว่าพิมพา ซึ่งจักขอถวายบังคมลาเข้าสู่นิพพานในวันนี้เสียเถิด พระเจ้าข้า