กัลยาณีกุมารี

 

ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงเป็นที่พึ่งแห่งสัตวโลกทั้งหลาย! ในอดีตชาติล่วงแล้วแต่หนหลัง ครั้งศาสนาพระพุทธรังสีสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ผู้ทรงเป็นพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นมาณพหนุ่ม เห็นโทษในฆราวาสวิสัย และปรารถนาจักประพฤติพรหมจรรย์บำเพ็ญเนกขัมมบารมี จึงกล่าวคำขออนุญาตภรรยาซึ่งชื่อว่า กัลยาณีกุมารี ออกบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์สาวกในพระศาสนา แห่งองค์สมเด็จพระพุทธรังสีสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น มีนามปรากฏว่า พระอัญญาโกณฑัญญภิกขุ ส่วนว่าพิมพาข้าพระบาทที่เกิดเป็นหญิงนามว่ากัลยาณีกุมารี เมื่อ อนุญาตให้สามีบวชด้วยความจำเป็นจำใจอนุญาตแล้ว ก็ให้นึกโทมนัสขัดเคืองระคนน้อยใจในสามีนั้นหนักหนา โดยคิดว่าสามีเป็นคนเห็นแก่ความสบาย ไม่นึกถึงความรักความใคร่ ปล่อยให้ภรรยาว้าเหว่เอกาอยู่ในโลกฆราวาส นึกโทมนัสน้อยใจอยู่อย่างนี้จนถึงแก่ชีพิตักษัยขาดใจตายด้วยอารมณ์ไม่ผ่องใสนั้น

กาลวันหนึ่ง เป็นยามราตรีมีฝนพรำเงียบสงัดกำดัดดึก ท่านพระอัญญาโกณฑัญญะภิกษุหนุ่ม สาวกแห่งองค์พระพุทธรังสีสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้สดับเสียงร้องครวญครางแปลกประหลาด ประดุจคนได้ทุกขเวทนาแทบจะขาดใจตายในที่ใกล้กุฎี ก็ให้มีความอัศจรรย์ใจยิ่ง หนักหนา ด้วยว่าแต่ก่อนร่อนชะไรจะเคยได้ยินเสียงร้องไห้ครวญครางดั่งนี้ก็หามิได้ พระผู้เป็นเจ้าจึงร้องถามไปว่า ใครมาร้องไห้ครวญครางอยู่ที่นี่ แล้วก็เปิดกุฎีออกมาดูเพื่อให้รู้แน่ ก็ได้แลเห็นเปรตมีลักษณาการแสนทุเรศปรากฏแก่คลองจักษุ ก็ถามย้ำซ้ำอีกว่า นั่น...ท่าน เป็นใคร? และเหุตใด จึงมาร้องไห้ครวญครางอยู่ใกล้กุฎีของเราอยู่อย่างนี้ เปรตเพศหญิงเมื่อได้ยินพระอัญญาโกณฑัญญะภิกษุถามดั่งนั้น ก็หยุดร้องไห้ฉับพลันด้วยความดีอกดีใจ แล้วกราบเรียนขึ้นในความมืดแห่งราตรีนั้นว่า

"ข้าแต่ท่านผู้ทรงศีล! อันว่าตัวดิฉันนี้ หาใช่คนอื่นไกลที่ใดไม่ โดยที่แท้ก็คือนางกัลยาณีกุมารีรูปสวยโสภา ซึ่งเคยเป็นภรรยาของพระผู้เป็นเจ้านั่นเอง เหตุที่มาอุบัติบังเกิดเป็นเปรตแสนทุเรศเช่นนี้ ก็คือว่า เมื่อพระผู้เป็นเจ้าออกมาบวชในศาสนา ข้าพเจ้านี้ถึงแม้จะแสดง ความชื่นชมยินดีต่อหน้าคนทั้งหลาย แต่ภายในใจนั่นสิ เต็มไปด้วยความโทมนัสขัดเคืองคิดน้อยอกน้อยใจอยู่ตลอดเวลาว่า สามีของข้าเป็นคนด้อยปัญญา ไม่รู้ซึ่งถึงคุณค่าแห่งความรักที่ภรรยามีต่อตน และเป็นคนเห็นแก่ตัวปลีกมาหาความสบายในศาสนา ทอดทิ้งให้ภรรยา ว้าเหว่เอกาในโลกฆราวาสแต่ลำพัง ทั้งเป็นคนมีใจดำเหี้ยมเกรียมหนักหนา ไม่เห็นอกเห็นใจภรรยาเลยว่าจะเป็นเช่นใด เฝ้านึกน้อยใจอยู่อย่างนี้ จนถึงแก่ชีพิตักษัย ด้วยอารมณ์ตรอมตรมไม่ผ่องใส จึงได้ไปเกิดในกำเนิดแห่งเปรตมีแต่ความทุกข์ทรมานและอุตส่าห์เดินโซซังมา ยังสถานที่อยู่แห่งพระผู้เป็นเจ้าที่เคยเป็นสามี ด้วยอานุภาพแห่งใจรักชักพาให้มา ในกาลบัดนี้"

อัญญาโกณฑัญญะภิกษุหนุ่มได้สดับวาจาแห่งนางเปรตกัลยาณีกุมารีฉะนี้ ก็มีความสงสารนางที่เคยเป็นภรรยาจับใจ ปรารถนาที่จะช่วยสงเคราะห์ให้นางพ้นจากความเป็นเปรตจึงบอกให้นางคุกเข่าและก้มศีรษะเข้ามาใกล้ๆแล้วพระผู้เป็นเจ้าก็ยื่นไม้เท้าจรดที่กลางกระหม่อมแห่งนางเปรตนั้น พร้อมกับกล่าวว่า

"ดูกรกัลยาณีกุมารีที่เคยเป็นโยมอุปัฏฐากของอาตมาเอ๋ย ตั้งแต่อาตมาได้บวชเป็นพระภิกษุในศาสนาของพระพุทธองค์เจ้ามา เจ้าก็สู้อุตส่าห์นำมาซึ่งอาหารบิณฑบาต จีวรและสิ่งอื่นๆอันควรแก่สมณบริโภคทูนเหนือศีรษะมาถวายเป็นอันมาก ทั้งยังได้สมาทานรักษาศีลตามคำแนะนำของอาตมาทุกวัน บัดนี้ขอเจ้าจงตั้งใจให้ดีแล้วระลึกถึงผลทานผลศีลที่เจ้าเคยบำเพ็ญมานั่นเถิด อนึ่ง บุญกุศลใดที่อาตมาพระอัญญาโกณฑัญญะได้บำเพ็ญมาในพระศาสนาทั้งหมด อาตมาขออุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้า ขอให้เจ้าซึ่งเคยเป็นโยมอุปัฏฐากจงรับและจงอนุโมทนาส่วนกุศลนั้นในกาลบัดนี้"

กัลยาณีกุมารีเปตร ได้สดับโอวาทและคำอุทิศส่วนกุศลในที่เฉพาะหน้าตน ดั่งนี้ ก็มีจิตยินดีรำลึกถึงผลทานผลศีลที่ตนได้เคยบำเพ็ญมา และยกหัตถ์ขึ้นอนุโมทนาส่วนกุศลแห่งพระอัญญาโกณฑัญญะ ผู้เคยเป็นสามีสุดที่รัก ในขณะนั้น ก็เกิดเป็นมหากุศลดล บันดาลให้นางจุติจากอัตภาพแห่งเปรตไปอุบัติเกิดเป็นเทพนารี สถิตเสวยทิพยสมบัติเป็นสุขอยู่ ณ ดาวดึงสเทวโลกฉับพลันทันใด

ข้าแต่พระองค์ผู้เคยทรงเป็นสวามี โทษผิดแห่งพิมพาข้าพระบาทนี้ หากจักพึงมีในชาตินั้น โดยความสำคัญผิดคิดว่าพระองค์เป็นคนด้อยปัญญา เห็นแต่ความสุขสบายแห่งตนเป็นที่ตั้ง ทอดทิ้งภรรยาตน ทั้งที่นางยังมีใจรักภักดี ออกไปบวชในศาสนาของพระชินสีห์เจ้าแล้วไซร้ ขอองค์สมเด็จพระจอมไตรโลกนาถ จงทรงพระกรุณาอดโทษให้แก่ข้าพระบาทชื่อว่าพิมพา ซึ่งจักขอถวายบังคมลาเข้าสู่นิพพานในวันนี้เสียเถิด พระเจ้าข้า