ปัญญากุมารี

 

ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงเป็นที่พึ่งแห่งสัตวโลกทั้งหลาย ในอดีตชาติล่วงแล้วแต่หนหลัง ครั้งศาสนาพระตัณหังกรสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นพระองค์ผู้ทรงเป็นพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นกุมารหนุ่มน้อย ได้บรรพชาเป็นสามเณรในพระบวรพุทธศาสนา นามว่าเจ้าธรรมรักขิตสามเณร ฝ่ายว่าตัวพิมพาข้าพระบาทนี้ เกิดเป็นกุมารีที่หมู่บ้านใกล้อารามมีนามว่า ปัญญากุมารี

กาลวันหนึ่ง ที่อารามนั้นมีการบำเพ็ญกุศลเนื่องในเทศกาลสงกรานต์ ชาวบ้านทั้งปวงล้วนแต่เป็นพุทธศาสนิกชน จึงชวนกันไปบำเพ็ญกองการกุศล คือ สรงน้ำพระพุทธปฏิมาและพระเจดีย์พระศรีมหาโพธิ์ ตลอดจนสรงน้ำพระสงฆ์สามเณรด้วยเลื่อมใสศรัทธา เจ้าปัญญากุมารีมีความรักใคร่ในธรรมรักขิตสามเณรมานาน เห็นเป็นโอกาสดี ก็กระทำอิตถีมายาให้สามเณรรู้ว่าตนมีความเสน่หา สรงน้ำพระสงฆ์แต่พอเป็นกิริยาแล้ว เจ้าก็ถือขันน้ำเจาะจงไปจะสรงน้ำสามเณรผู้เป็นที่รัก เจ้าธรรมรักขิตสามเณรก็ยกหัตถ์ขึ้นจับมือนางด้วยความยินดีรักใคร่ เป็นเหตุให้มีโทษถึงกับต้องถูกสึกในวันนั้น แล้วก็มาอยู่กินเป็นสามีภรรยากันได้ ๗ วัน กลับเข้าไปบวชเป็นพระภิกษุได้ ๑ พรรษา ครั้นปวารณาแล้วก็รีบสึกออกมาครองเรือนเป็นสามีภรรยากันกับปัญญากุมารี ด้วยอานุภาพแห่งความรักใคร่เสน่หา

ข้าแต่พระองค์ผู้เคยทรงเป็นสวามี โทษผิดแห่งพิมพาข้าพระบาทนี้ หากจักพึงมีในชาตินั้น โดยทำลายพระองค์ให้ขาดจากบรรพชิตภาวะ ไม่มีโอกาสได้ประพฤติพรหมจรรย์ตลอดไปแล้วไซร้ ขอองค์สมเด็จ พระจอมไตรโลกนาถ จงทรงพระกรุณาอดโทษให้แก่ข้าพระบาทชื่อว่าพิมพา ซึ่งจักขอถวายบังคมลาเข้าสู่นิพพานในวันนี้เสียเถิด พระเจ้าข้า