อนิมิตตาเศรษฐีนี

 

ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงเป็นที่พึ่งแห่งสัตวโลกทั้งหลาย ในอดีตชาติล่วงแล้วแต่หนหลัง ครั้งศาสนาสมเด็จพระนารทสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น พระองค์ผู้ทรงเป็นพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นชฎิลเศรษฐีมีทรัพย์สมบัติมหาศาล แม้พิมพาข้าพระบาทนี้ก็ได้เป็นภรรยาของเศรษฐีนั้นนามว่า อนิมิตตาเศรษฐีนี ครองฆราวาสสมบัติเป็นสุขอยู่ทุกทิวาราตรี

กาลวันหนึ่ง ชฎิลเศรษฐีสามีเกิดปัญญาพิจารณาเห็นว่าความสุขในฆราวาสวิสัยเป็นความสุขไม่เที่ยงแท้แน่นอน ปรารถนาความสุขชั่วนิรันดร์ จึงออกไปบวชเป็นดาบสประพฤติพรตพรหมจรรย์ บำเพ็ญสมถกรรมฐานอยู่ในอรัญ นางอนิมิตตาภรรยาอุตส่าห์เดินทางติดตามไป ครั้นได้เห็นสามีบวชเป็นดาบสแล้ว ก็มีจิตผ่องแผ้วโสมนัสอนุโมทนา ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ก็อุตส่าห์ปฏิบัติรับใช้ นำเอาอาหารทูนเหนือศีรษะออกไปถวายแก่พระดาบสผู้สามี มิให้ต้องลำบากด้วยปัจจัย ๔ แต่ประการใด โดยตั้งใจจะสนับสนุนเกื้อกูลให้ท่านดาบส รีบเร่งบำเพ็ญให้สำเร็จโดยไว สมัยนั้น ยังมีนางกินรีตนหนึ่ง เกิดความเลื่อมใสในองค์ดาบสจึงมาสู่อาศรมเพื่อประสงค์จะถวายนมัสการซึ่งบาทแห่งดาบสผู้ทรงพรตพรหมจรรย์ ก็บังเอิญเป็นเวลาที่นางอนิมิตตาเศรษฐีนีซึ่งเป็นโยมอุปัฏฐาก นำเอาอาหารทูนเหนือศีรษะมา เห็นนางกินรีนั่งอยู่ในกุฎี จึงเกิดความเข้าใจผิดกล่าวต่อว่าดาบสด้วยความโกรธและน้อยใจว่า

"ข้าแต่ท่านดาบส แต่เดิมทีสิ ท่านเห็นโทษในฆราวาสวิสัย จึงได้หนีออกจากเคหา ทิ้งข้ามาบวชอยู่ในป่า ข้านี่หรือก็มาสำคัญว่า ท่านบวชจริง จึงอุตส่าห์นำอาหารออกมาถวาย ต้องเดินทางไกลด้วยความลำบากหนักหนา เออ บัดนี้ท่านมาผูกปฏิพัทธ์เสน่หากับด้วยนางกินรีรูปงามอยู่ในป่านี้อย่างมีความสุขในโลกีย์ โอหนอ! ไม่ควรเลยที่ท่านจะมาล่อลวงเราให้เป็นบาปช้าลามก"

อนิมิตตาเจ้ากล่าวด้วยความเข้าใจผิดฉะนี้แล้ว ก็รีบออกมาจากป่า แม้ท่านดาบสจะพยายามชี้แจงแสดงความจริงอย่างใด ก็ไม่เชื่อฟังทั้งสิ้น ตั้งแต่วันนั้นมา นางก็ละเลยมิได้นำพาว่าจักเป็นเช่นไร ปล่อยให้ดาบสผู้สามีอดๆอยากๆด้วยขาดปัจจัยสี่

ข้าแต่พระองค์ผู้เคยทรงเป็นสวามีโทษผิดแห่งพิมพาข้าพระบาทนี้ หากจักพึงมีในชาตินั้น โดยความเข้าใจผิดตัดพ้อต่อว่าแล้วปล่อยให้อดอยาก ซึ่งเป็นการแกล้งให้พระองค์ลำบากแล้วไซร้ ขอองค์สมเด็จพระจอมไตรโลกนาถ จงทรงพระกรุณาอดโทษให้แก่ข้าพระบาทชื่อว่า พิมพา ซึ่งจักขอถวายบังคมลาเข้าสู่นิพพานในวันนี้เสียเถิด พระเจ้าข้า